วันนี้หากใครอยากจะมีชื่อเสียงในทางลบทางหน้าจอโทรทัศน์เอเอสทีวี ง่ายนิดเดียว เพียงแค่แสดงความคิดเห็นผ่านสื่อว่าเห็นด้วยกับรัฐบาล ไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมประท้วงยืดเยื้อ ปิดถนน ทำให้ประชาชนเดือดร้อนกันถ้วนหน้า
รับรองว่าชื่อของท่านจะถูกหยิบยกขึ้นไปสับโขกบนเวทีพันธมิตรพันธมารทันทีทันควัน
ไม่เว้นแม้กระทั่งพระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วประเทศอย่าง พระพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว จ.นนทบุรี ยังโดนมาแล้ว เพียงแค่เตือนให้ผู้ปกครองที่พาลูกหลานไปร่วมชุมนุม ต้องอธิบายให้เด็กเข้าใจถึงการชุมนุม และที่พระพยอมเป็นห่วงมากที่สุดคือ การใช้คำหยาบในการปราศรัยถึงบุคคลต่างๆ
เหี้ยห่าสารพัดสัตว์ วิ่งกันให้พล่านออกมาจากปากคนที่ไปพ่นน้ำลายบนเวทีในแต่ละวัน แต่ละคืน
ล่าสุดเมื่อ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี แต่งตั้งที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจขึ้นมา 4 คน โดยมี ดร.โกร่ง หรือ ดร.วีรพงษ์ รามางกูร เป็นประธาน ปรากฏว่า แต่ละคนถูกหยิบขึ้นมากล่าวหาต่างๆ นานา โดยมีสื่อในเครือในค่ายสอดรับสนับสนุน โดยเฉพาะข้อกล่าวหาว่าการแต่งตั้งทีมที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของ นายกฯ สมัคร สุนทรเวช ครั้งนี้ มีผลประโยชน์ทับซ้อน เพราะแต่ละท่านนั้นเป็นที่ปรึกษาประธานบริษัท ที่ปรึกษาบริษัทต่างๆ ของเอกชนมากมาย จึงตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนว่า จะนำความลับในการประชุมคณะรัฐมนตรีไปเอื้อประโยชน์กับบริษัทเอกชน
ปรากฏว่าความหวังของนักธุรกิจและประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ที่ดีใจกันว่า ต่อไปนี้สถานการณ์ด้านเศรษฐกิจของประเทศน่าจะดีขึ้น เพราะได้คนมีความรู้ด้านเศรษฐกิจตัวจริง เสียงจริง มาเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี
แต่วันนี้ความหวังเริ่มเลือนลาง ไม่แน่ใจทีมที่ปรึกษาที่เพิ่งตั้งกันเมื่อ 2 วันที่ผ่านมา จะทนแรงเสียดทานได้แค่ไหน เหมือนกับหลายๆ คนที่ปฏิเสธที่จะเข้ามา เพราะเปลืองตัว
ชื่อเสียงที่สร้างสมมาทั้งชีวิต ก็ถูกหยิบขึ้นมาบังสุกุลโขกสับอย่างไม่มีชิ้นดี โดยไม่สามารถจะลดตัวเองลงไปตอบโต้ได้
จริงอยู่วันนี้แม้นายกฯ สมัคร สุนทรเวช เริ่มเปิดเกมรุกกลุ่มพันธมิตรพันธมาร เป็นเรื่องเป็นราว โดยการให้ นายวีระ มุสิกพงศ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกรัฐบาล และ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส. พรรคพลังประชาชน ในนามบริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ มาดำเนินรายการ “ความจริงวันนี้” ทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ช่อง 11 ตั้งแต่เวลา 4 ทุ่มเศษ ถึง 5 ทุ่มตรง ทุกวันอาทิตย์ถึงวันเสาร์ โดยหนังสือพิมพ์ประชาทรรศน์นำเรื่องราวที่ออกอากาศไปแล้ว มาถ่ายทอดให้อ่านกันอีกรอบ เพราะเห็นว่ารายการนี้ออกอากาศดึกไปหน่อย หลายคนอาจจะต้องพักผ่อนเพื่อเตรียมแรงไว้สู้กับชีวิตในวันต่อไป
แถมด้วยรายการ “จุดชนวนข่าว” ทางสถานีวิทยุวิสดอมเรดิโอ คลื่นเอฟเอ็ม 105 เมกะเฮิร์ตซ์ ช่วงเวลาบ่ายโมงถึงบ่ายสองโมงครึ่ง ทุกวันจันทร์-ศุกร์ หยิบยกเรื่องน่าสนใจไปอ่านให้แฟนๆ ได้รับทราบความจริงวันนี้
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ
เมื่อ 2 วันที่ผ่านมา รายการ “จุดชนวนข่าว” นำเรื่องความไม่ชอบมาพากลของ คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง. ที่รายการความจริงวันนี้หยิบยกขึ้นมาชำแหละให้เห็นล่อนจ้อนว่า ในอดีตและปัจจุบันได้ไปทำอะไรไว้บ้างที่น่าเคลือบแคลงสงสัย
ปรากฏว่ามีคนฟังจากทางบ้านโทรศัพท์เข้ามาที่ห้องส่งว่า ข่าวที่รายการ “จุดชนวนข่าว” นำมาอ่านให้ฟังนั้น มาจากไหน ไม่เคยเห็นรายการข่าวโทรทัศน์ วิทยุ และหนังสือพิมพ์ฉบับไหนนำเสนอ
ผมรับฟังเรื่องนี้ด้วยความหดหู่ใจ ขนาดคนในเมืองหลวงแท้ๆ ยังไม่รับรู้ข้อมูลข่าวสารได้รอบด้านทั่วถึง อาจจะเป็นเพราะว่ารายการความจริงวันนี้เพิ่งเริ่มมีขึ้นไม่นาน และหนังสือพิมพ์ประชาทรรศน์ก็จะมีอายุครบขวบปีในวันที่ 1 ตุลาคม ที่จะถึงนี้
วันนี้ผมจึงไม่แปลกใจเลยว่า เพราะเหตุใดข้อมูลเท็จมากกว่าจริงบนเวทีพันธมิตรพันธมาร จึงถึงชาวบ้านมากกว่าข้อมูลของรัฐบาล เพราะเอเอสทีวีสามารถกรอกหูชาวบ้านได้ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง ในขณะที่รายการความจริงวันนี้มีแค่ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง แถมเป็นเวลาดึกอีกต่างหาก
ดังนั้น ใครที่บอกว่ารัฐบาลชุดนี้แทรกแซงสื่อ ผมต้องเถียงคอเป็นเอ็นว่า สื่อต่างหากแทรกแซงรัฐบาล จนต้องตกอยู่ในสภาพง่อนแง่น เพราะตั้งรับมาตั้งแต่ต้น นายกฯ สมัคร สุนทรเวช เพิ่งคิดได้ จะต้องเปิดเกมรุกด้านสื่อ เกือบจะไม่ทันการณ์