คอลัมน์ : ตะแกรงข่าว
กรณีพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชา จากการขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารนั้น ทางฝ่ายกัมพูชา ตั้งแต่ผู้นำประเทศมาจากถึงประชาชนทั่วไป แสดงความดีอกดีใจเฉลิมฉลองกันอย่างยิ่งใหญ่ เพราะเขาถือว่า...นี่เป็นชัยชนะของพวกเขา
ในบรรยากาศแห่งความชื่นมื่นในกัมพูชา แต่ประเทศไทยกลับมีการแตกแยกกันเป็นฝักเป็นฝ่ายเพิ่มมากขึ้นเพราะ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ยกเอามาเป็นข้ออ้างเพื่อ
“จัดการ”กับรัฐบาลที่มาจาการเลือกตั้ง โดยระบุว่าเป็นการผิดพลาดของรัฐบาล
มีการปลุกระดมโหมการเสนอข่าวให้เกิดความสับสนแตกแยกมากขึ้นจนลุกลามไปทั่วประเทศ โดยมีนักวิชาการที่อยู่ในเครือข่ายพยายามเอาหลักฐานตอกย้ำ ว่าเป็นความผิดพลาดของรัฐบาล
จนมีการฟ้องร้องไปยังสหประชาชาติ ต้องการให้เป็นเรื่องใหญ่โตให้ได้
คงจำได้ว่า แกนนำพันธมิตรฯ มี ส.ส. ของ พรรคประชาธิปัตย์ คนสำคัญ คือ นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ได้ร่วมหัวจมท้าย มาตั้งแต่ตอนสุมหัวกัน เพื่อหาทางล้มล้างรัฐบาลนี้ให้ได้
รางวัลแห่งความอปยศที่ นายสมเกียรติได้รับ จากการเข้าไปร่วมในขบวนการล้มล้างรัฐบาลกับแก๊งข้างถนน ที่สังคมได้เห็นถึงความเถื่อน ถ่อย สถุล การลุแก่อำนาจของแกนนำ ที่คิดเอาเองว่า เป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ แม้จะที่ไปละเมิดสิทธิของคนอื่น ของคนส่วนใหญ่ก็ตาม จนมีคดีหมิ่นเบื้องสูง ตามแกนนำคนอื่น ที่เคยเจอมาแล้วเหมือนกัน
แทนที่ พรรคประชาธิปัตย์ ที่ถูกมองว่าเป็น พรรคการเมืองอีแอบ ร่วมมือกับกลุ่มพันธมิตรฯในการปลุกระดมเพื่อล้มรัฐบาล จะเกิดความสำนึกสำเหนียกในการทำหน้าที่ของพรรคและ ส.ส. ในพรรค กลับเดินเคียงบ่าเคียงไหล่ ไปในทางเดียวกันกับกลุ่มพันธมิตรฯ อย่างสนิทแนบแน่นยิ่งขึ้น
จะเห็นได้จากการเสนอความคิดเห็นต่างๆ และการโจมตีกล่าวหารัฐบาล ที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับแก๊งข้างถนน
พรรคประชาธิปัตย์และบนเวทีพันธมิตรฯ ไม่พูดถึงเรื่องที่อดีตรัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์คือ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร ไปทำเรื่องเอาไว้ และส่งผลเสียหายมาจนถึงวันนี้ ทั้งดินแดนและเกียรติภูมิของประเทศ
การที่พรรคประชาธิปัตย์ปิดปากเงียบ มองได้ว่า ไม่ต้องการต่อจะความยาวสาวความยืด ปล่อยให้เรื่องเงียบหายไปเอง เพราะบรรดา “สื่อ” ที่ร่วมขบวนการล้มล้างรัฐบาล ก็ไม่ได้นำเสนอเรื่องนี้มาให้ประชาชนได้รับรู้ “ความจริง”
ความจริงที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในรัฐบาล นายชวน หลีกภัย ปี 2543 ไปลงนามใน “บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก”
โดยที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ ได้ลงนามในฐานะตัวแทนฝ่ายไทย ฝ่ายกัมพูชา มี นายวาร์ คิม ฮง ที่ปรึกษารัฐบาลผู้รับผิดชอบกิจการชายแดนแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2543 ในการปักปันเขตแดน โดยอ้างถึงแผนที่ฉบับลงนามที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อ วันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1904 ในการจัดทำเขตแดน
ซึ่งเคยเป็นฉบับที่ทำให้คนไทยต้องเสียน้ำตามาแล้ว เพราะต้องเสียปราสาทเขาพระวิหารให้กัมพูชา เมื่อปี พ.ศ.2505 แต่กลับไม่ได้ระบุถึงแผนที่ แอล 7017 ของอเมริกา ที่ประเทศไทยใช้อ้างอิงมาตลอด
เมื่อเทียบกับแถลงการณ์ที่ นายนพดล ปัมทะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นผู้เจรจากรณีการขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก และกัมพูชาก็ยอมรับเงื่อนไขดังกล่าวทั้งหมด คือการให้กัมพูชาตัดพื้นที่ที่ซ้ำซ้อนออกและขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาท
จะเห็นว่า แถลงการณ์ที่นายนพดลไปทำ กลับมาทำให้ไทยได้เปรียบหลายเรื่อง กัมพูชายอมรับว่าพื้นที่ของเขาจริงๆ นั้น เป็นบริเวณที่ตั้งปราสาทเท่านั้น
เรื่องนี้มีการนำมาพูดจากกล่าวหาโจมตีกันทั้งในสภาและข้างถนน เพื่อหาเหตุมากล่าวหารัฐบาล
มาถึงตรงนี้ มีคำถามว่า ใครที่จะต้องออกมารับผิดชอบ ใครหรือพรรคการเมืองไหนที่ทำให้ไทยต้องสูญเสียเขาพระวิหาร
การที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาอ้อมแอ้มอย่างเสียไม่ได้ ยืนยันว่าเป็นความผิดของนายนพดล ปัทมะ แต่ไม่ยอมแจกแจงเหตุผลรายละเอียด ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก
วันนี้ทางกัมพูชา “รุกคืบจะเอาศอก” จะเอาปราสาทตาเมือนธม ต.บ้านตาเมียง อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ที่กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนไว้แล้ว คืนไป และหมายตาปราสาทสด๊กก๊อกธม ไว้จะต้องมีเรื่องจะตามมาอีก ยังไม่รู้ว่าจะลงอย่างไร
สิ่งเหล่านี้คงสมใจ “คนขายชาติ” ที่มองแค่ผลกระโยชน์ส่วนตัวเฉพาะกลุ่ม มากกว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประเทศชาติ ที่จะส่งผลทางจิตใจไปถึงคนไทยที่รักชาติ คนไทยที่หวงแหนแผ่นดินทุกคน
กรณีที่ประเทศกัมพูชาส่งทหารเข้าไปตรึงกำลังบริเวณปราสาทตาเมือนธม เป็นผลมาจากความเหิมเกริมจาการได้ปราสาทเขาพระวิหารไป พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบกยืนยันว่า ปราสาทตาเมือนธมกองทัพบกได้ดูแลพื้นที่มานานแล้ว และแผนที่ของเราที่เรายึดถือ ก็อยู่ในเขตเรา ถ้ามีกรณีอย่างอื่น เช่น มีการอ้างว่าเป็นของกัมพูชาก็มีหนทางที่จะดำเนินการได้อยู่แล้ว ส่วนการปักปันเขตแดนก็มีคณะกรรมการปักปันเขตแดนดำเนินการอยู่
และยังบอกอีกว่า สิ่งที่พยายามพูดกับทหารกัมพูชาที่อยู่ในพื้นที่ ขออย่าได้นำกำลังมาเผชิญหน้ากัน เพื่อให้การปักปันเขตแดนดำเนินการต่อไป และสถานการณ์ในพื้นที่ก็อยู่ในความเรียบร้อยดี
เบื้องต้น ยังไม่ได้พูดคุยกับ ผบ.ทบ.กัมพูชา แต่เป็นการพูดคุยระหว่างผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ที่รู้จักกันอยู่แล้ว แต่ระดับผู้ใหญ่คงพูดยาก เพราะมีกรอบเป็นตัวบังคับ เช่น ตนก็จะต้องยึดแผนที่ตามประเทศไทย ทั้งนี้ ต้องให้เจ้าหน้าที่ที่ดูแลในพื้นที่ต้องดูแลไม่ให้เผชิญหน้ากัน และสั่งการไปครึ่งเดือนกว่าแล้วว่าให้รักษาสถานภาพตามแนวชายแดน โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีความสงสัย และล่อแหลม ทั้งนี้ จากการหารือกับกระทรวงต่างประเทศเกี่ยวกับข้อพิพาทบริเวณประสาทพระวิหาร โดยกระทรวงการต่างประเทศต้องการให้กองทัพปรับกำลังทหาร เพื่อไม่ให้เกิดการเผชิญหน้ากันของกำลังทหารทั้ง 2 ประเทศ
นี่เป็นภารกิจ เป็นบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบของทหาร ที่เป็นรั้วของชาติ ที่พยามยามให้เรื่องคลี่คลาย โดยคำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่ขณะเดียวกันก็พร้อมที่จะปกปักรักษาผืนแผ่นดินไทย
แกนนำของพันธมิตรฯและนักวิชาการที่ขึ้นเวที ทำการปลุกระดม ที่อวดอ้างหลักฐานว่าเป็นเอกสารลับ นำมาแสดงให้ผู้ร่วมชุมนุมประท้วงได้รับรู้ และแพร่ภาพและเสียงไปทั่วประเทศให้เครือข่ายได้รับทราบทางเอเอ็สทีวี จะต้องเอาเรื่องนี้ไปพูด เพราะนี่คือ...ความจริงในวันนี้
ไม่ต้องเสาะแสวงหาเอกสารลับอะไรที่ไหน เพราะสิ่งที่ รัฐมนตรีต่างประเทศในรัฐบาลประชาธิปัตย์ ได้ทำไว้นั้น ไม่ได้เป็นเรื่องลับอะไรเลย
อย่างน้อยก็จะทำได้ทำให้ทางกัมพูชาตาสว่างขึ้นมาได้บ้างว่า ที่มีการเฉลิมฉลองในสิ่งที่คิดว่าเป็นความสำเร็จนั้น เป็นเพราะมีคนไทยที่ขายชาติกลุ่มหนึ่ง ปกปิดความจริง จนนำไปสู่ความเสียหายแก่ประเทศชาติ
เรื่องที่จะแกนนำพันธมิตรฯจะเป่านกหวีด เพื่อระดมคนมาร่วมชุมนุนประท้วงนั้น ผมสนับสนุนครับ ขอมากันให้มากๆ จะได้รู้ความจริงเสียทีว่า ใครกันแน่ที่เป็นคนขายชาติ ไม่หวังดีต่อบ้านเมือง จ้องประเคนดินแดนให้ต่างชาติ
อย่าเอาแต่หาเหตุหาเรื่อง ให้บ้านเมืองบอบช้ำและเสียหายไปกว่านี้เลย