มีข้อสรุปบางประการของนักจิตวิทยา ระบุว่า คนที่มีจิตใจดีเป็นพื้นฐาน มักจะไม่กล้าทำผิด หรือถ้าโกหกก็จะทำได้ไม่แนบเนียน เพราะสำนึกในส่วนดีมันคอยขัดแย้งกันอยู่
ก็ไม่รู้ว่าพฤติกรรมของ ป.ป.ช. ทั้ง 9 คน จะอยู่ในข่ายดังว่าหรือเปล่า
เพราะในการออกมาพูดจากหาเหตุผลสนับสนุน ให้ตัวเองและพวกพ้องยังคงยืดหน้า ชูคอ ทำหน้าที่ ป.ป.ช.ต่อไปได้นั้น เป็นคำให้การที่วกวน สับสน ชนิดที่เรียกว่าถ้าเป็นการให้ปากคำของนักโทษก็คงติดคุกหัวโตไปแล้ว เพราะสิ่งที่พูดออกมาใช้พิสูจน์ความจริงอะไรไม่ได้เลย
หลักฐานก็ไม่มี...แถมยังพูดจาขัดแย้งกันเอง
อย่างกรณีคุณสมบัติที่นักกฎหมายและผู้รู้ กางรัฐธรรมนูญ 2550 ดู ยังไงก็เห็นชัดๆ ว่าขัดกฎหมาย และไม่มีสถานภาพเป็นกรรมการ ป.ป.ช.ตั้งแต่ต้น เหมือนเอาคนนอกกฎหมายมาตั้งให้มีตำแหน่งหน้าที่ แล้วจะอ้างว่ามีอำนาจย่อมไม่ใช่เรื่องถูกต้อง
ที่สำคัญการแต่งตั้งที่มีการกล่าวอ้างนั้น น่าเป็นห่วงมากถึงความหมิ่นเหม่ที่ส่อว่าจะละเมิดพระราชอำนาจ
ซึ่งในความเป็นจริงแล้วสำหรับคนดีที่มีจิตสำนึก เพียงแค่มีเหตุให้ชวนสงสัยว่าจะเข้าข่ายมิบังควร ก็ไม่เหมาะที่จะดึงดันอีกต่อไป เพราะอย่างไรเสียความสง่างามก็ได้ห่ายไปหมดแล้ว
ที่สำคัญยังสุ่มเสี่ยงต่อการถูกมองได้ว่าไม่จงรักถักดี ไม่รู้ที่ต่ำที่สูง ทำชื่อเสียง เกียรติยศศักดิ์ศรีวงศ์ตระกูลเสียหายไปเสียเปล่าๆ
เพราะอย่างน้อยกรรมการ ป.ป.ช. แต่ละคนก็มีประวัติการทำงานที่น่าสนใจ มีพื้นฐานการยอมรับของสังคมในระดับหนึ่ง จึงยิ่งไม่คุ้มค่าเลยที่จะมามัวหมองในช่วงสุดท้ายของการทำงาน และในช่วงบั้นปลายของชีวิต
ลำพังแค่ให้ชาวบ้านกระทบกระเทียบ ก่นด่าอยู่ทุกวี่ทุกวันก็แย่เต็มที
แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามีอะไรเหนี่ยวรั้งให้ทั้ง 9 ท่านนี้ ยังเกาะเก้าอี้ไว้แน่น
ผมไม่กล้าคิดว่างินเดือนพร้อมเงินประจำตำแหน่งคนละแสนกว่าบาทต่อเดือน จะมากพอที่จะทำให้ทุกท่านละทิ้งศักดิ์ศรี ละทิ้งความถูกต้อง
และไม่กล้ามองเหมือนอย่างที่มีบางคนมองว่าคนเหล่านี้เป็นคนไม่จงรักภักดี ที่กล้าละเลยพระราชอำนาจ พียงเพื่อให้ตัวเองได้มีลาภ ยศ วรรเสริญ
ผมไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ ป.ป.ช.ทั้ง 9 คนได้รับ กับสิ่งที่ถูกสะท้อนกลับไปในทางลบมันคุ้มค่ากันมากน้อยแค่ไหน
เพียงแต่ผมเสียดายแทนที่ท่านเลือกจะเอาคุณงามความดีที่พอมี มาละทิ้งเอาเมื่อตอนแก่
และขณะเดียวกันก็เกิดเป็นคำถาม
โดยเฉพาะเมื่อมองย้อนไปตั้งแต่การปฏิวัติรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
มาจนถึงการตั้งองค์กรอิสระทั้งหลายขึ้นมา โดยมีเจตนาชัดในการเล่นงานอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และรับมนตรีร่วมรัฐบาลในขณะนั้น
จนมาถึงวันนี้เมือวันนี้ คตส. หมดอายุลงตามเงื่อนไข แล้วส่งลูกต่อให้ ป.ป.ช. จึงเป็นความจำเป็นที่ กรรมการทั้ง 9 คนจะต้องปัหลักทำหน้าที่สานงานที่ยังทำไม่เสร็จ
เพื่อเป็นการสานต่อเจตนารมย์การยึดอำนาจ สานต่อเจตนาเผด็จการอย่างนั้นหรือเปล่า
แบบเดียวกับที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก็ยังไม่ยอมถอยไปไหน ทั้งที่ที่มาก็เถื่อนแบบเดียวกัน จะเป็นเพราะยังไม่สามารถยุบพรรคพลังประชาชนได้หรือไม่
เมื่อได้พยายามปะติดปะต่อเรื่องราวอย่างง่ายๆ มองไปถึง สว.ลากตั้ง โยงไปถึงพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรืออาจจมองไปถึงพรรคประชาธิปัตย์ รวมไปถึงผู้ใหญ่บางคนที่เป็นไม้หลักฯ จึงอดเป็นห่วงไม่ได้
เพราะวันนี้กระบวนการที่มีการผสานมือกันล้มล้างรัฐบาล ที่ผมมองว่าเป็นอำนาจที่ขาดความชอบธรรม มองว่าเป็นเรื่องนอกรัฐธรรมนูญ เหนือกฎหมาย หรือเป็นอำนาจเถือ่น ยังคงสอดแทรกอยู่ทั่วไปในสังคมไทย
และที่เลวร้ายคือคนเหล่านี้กำลังพยายามสื อสารบอกผู้คนว่ามันคือสิ่งที่ถูกต้อง
ในขณะที่รัฐบาลที่มารจากการเลือกตั้งจากเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนทั้งประเท ศต้อง”ออกไป” และเพียงแค่คิดจะทำงานให้บ้านให้เมืองเรื่องใด ก็ “ผิดหมด” ต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์ไปเสียทุกเรื่อง
เรียกได้ว้าเพียงแค่คิดก็ผิดแล้ว
ในขณะที่กลุ่มก้อนของตัวเองกลับทำตีวเป็นเทวดา อยู่เหนือกติกาบ้านเมืองขึ้นทุกวัน
มีคนตั้งคำถามว่าความวุ่นวายในบ้านเมืองขณะนี้จะจบลงอย่างไร
ผมอยากตอบแบบกำปั้นทุบดินว่าเมื่อใดคนที่ก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง หยุดพฤติกรรมซ้ำเติมประเทศชาติ เมื่อนั้นบ้านเมืองก็สงบ
เมื่อใดก็ตามที่คนในสังคมเคารพกฎเกณฑ์ กติกา ก็อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข
หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องมาช่วยกันขบคิดว่าจะต้องทำอย่างไรที่จะไม่ให้มีอย่าง “อบย่างนี้” อยู่บนผืนแผ่นดินไทย
จะได้ไม่ต้องเดือดร้อนถึง “ตัวเหี้ย”
ไม่ต้องมาทำพิธี “ปล่อยเหี้ย” ให้เสียเวลา...!!