*กลับลำอ้างความลับราชการเปิดเผยไม่ได้
จับโกหก “ป.ป.ช.” มั่วนิ่มอ้างมีหนังสือราชเลขาธิการยืนยันสถานภาพ “ศราวุธ เมนะเศวต” เลขาธิการป.ป.ช. กลับลำระบุเป็นความลับของทางราชการไม่สามารถนำออกมาเปิดเผยได้ ต้องทำหนังสือขออนุญาตก่อน แถมพูดจาชวนสับสน ไม่มีเอกสารที่ว่าอยู่ที่ ป.ป.ช. ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเรียงหน้ากันออกมาท้าให้ตรวจสอบได้เลย ล่าสุดเพียงข้ามวัน “วิชา มหาคุณ” ยังย้ำหนักแน่นว่ามีเอกสารอยู่ในมือ บรรดา ส.ส. ตั้งข้อกังขามีเอกสารอยู่จริงหรือไม่ แถมอ้างเป็นความลับยังฟังไม่ขึ้น เพราะออกมาพูดสาระสำคัญจนหมดแล้ว พร้อมขีดเส้นแจงให้เคลียร์ภายในสมัยประชุมนี้
ปัญหาที่มาและคุณสมบัติของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่ถูกตั้งขึ้นด้วยคำสั่งคณะปฏิวัติ โดยไม่ได้รับโปรดเกล้าฯ และไม่ได้เข้าถวายสัตย์ตามที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ 2550 จนส่อว่าจะเป็นกรรมการเถื่อนและเข้าข่ายละเมิดพระราชอำนาจ ทำท่าจะบานปลายกลายเป็นเรื่องใหญ่โตยิ่งขึ้น หลังจากที่ นายศราวุธ เมนะเศวต เลขาธิการป.ป.ช. ได้ออกมากล่าวอ้างว่าได้ทำหนังสือหารือถึงราชเลขาธิการ และมีหนังสือยืนยันกลับมาแล้วว่าไม่จำเป็นต้องมีการถวายสัตย์ และเป็นประเด็นที่ถูกเรียกร้องจากฝ่ายต่างๆ มาอย่างต่อเนื่องว่าให้นำหนังสือดังกล่าวออกมาแสดง เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย
ซึ่งที่ผ่านมานายศราวุธ เองก็ท้าทายว่าสามารถดูเอกสารดังกล่าวได้ที่สำนักงาน ป.ป.ช. เช่นเดียวกับกรรมการอีกหลายคนที่ออกมาขานรับเรื่องดังกล่าว
*ป.ป.ช.พูดจากลับไปกลับมา
ขณะที่ นายวิชา มหาคุณ หนึ่งในกรรมการ ป.ป.ช. ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 6 สิงหาคมที่ผ่านมายืนยันอีกครั้งว่า ป.ป.ช.มีหนังสือตอบรับการแต่งตั้งกรรมการโดยผ่านคุณสมบัติทุกประการจากสำนักราชเลขาฯ อย่างแท้จริง ไม่มีการกล่าวอ้างอย่างลอยๆ ตามที่สังคมคิดกัน
แต่ก็อ้างว่าการนำหนังสือดังกล่าวออกมาเปิดเผยต่อสาธารณชนนั้น ต้องมีการทำหนังสือขออนุญาตจากสำนักราชเลขาฯ เสียก่อน และขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินการขออนุญาตอยู่ เพื่อให้ประชาชนรับทราบและหายจากข้อกังขา
เหมือนกับที่นายศราวุธ ชี้แจงต่อสภาฯ ว่าเอกสารดังกล่าวเป็นความลับของทางราชการ และไม่ได้มีเก็บไว้ที่ ป.ป.ช. ซึ่งผิดไปจากที่เคยให้สัมภาษณ์ไว้ก่อนหน้านี้
จากการให้สัมภาษณ์กลับไปกลับมาชวนให้เกิดความกังขาและสับสนดังกล่าว ได้ถูกหยิบยกมาวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง ว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่เอกสารดังกล่าวไม่มีอยู่จริง หรืออาจจะเป็นความพยายามในการดิ้นรนเอาตัวรอดของ ป.ป.ช.หรือไม่
*อ้างเป็นความลับฟังไม่ขึ้น
นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคพลังประชาชน ในฐานะประธานกรรมาธิการกิจการองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และรัฐวิสาหกิจ องค์กรมหาชนและกองทุน สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า หนังสือจากสำนักราชเลขาธิการไม่น่าจะเป็นเรื่องลับ เพราะการที่ครม.แจ้งว่ามีหนังสือพระราชวังและบอกเนื้อหาก็คือการเปิดเผยความลับออกมาแล้ว ฉะนั้นเมื่อในหนังสือเลขาครม. บอกว่า ราชสำนักมีความเห็นแบบนี้ แต่สาระก็คือความลับ ไม่ใช่อยู่ที่ตัวหนังสือ นั่นก็หมายความว่าสาระได้เปิดเผยออกมาแล้ว ส่วนตัวหนังสือไม่น่าจะเป็นเหตุที่ต้องไม่เปิดเผย
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าสามารถตั้งประเด็นได้หรือไม่ว่าหนังสือจากสำนักราชเลขาธิการที่เลขาป.ป.ช.กล่าวอ้างนั้นไม่มีจริงนายสุทินกล่าวว่า ก็สามารถตั้งสมมติฐานเช่นนั้นได้ เนื่องจากมีการพูดที่กลับไปกลับมา เมื่อถามถึงความชอบธรรมในการทำหน้าที่นั้น เป็นเรื่องที่สังคมต้องพิจารณาและป.ป.ช.ต้องมีความระมัดระวังในการแสดงท่าที อย่าให้สังคมคิดว่าป.ป.ช.ไม่มีความน่าเชื่อถือ เพราะแม้ในวันนี้ป.ป.ช.เองออกมายืนยันว่าองค์กรของตนมีที่มาอย่างถูกกฎหมาย แต่ก็ยังไม่มีองค์กรใดออกมายืนยันข้อเท็จจริงดังกล่าว มีเพียงแต่ป.ป.ช.ที่ออกมารับรองสถานะของตนเอง
*เชื่อเลขาป.ป.ช.รู้ว่าต้องทำอย่างไร
ต่อข้อถามว่าจะต้องมีการเร่งให้เลขาธิการป.ป.ช.ออกมาชี้แจงในข้อเท็จจริงอีกหรือไม่ ประธานคณะกรรมาธิการฯ กล่าวว่า ไม่จำเป็นจะต้องจี้เร่งให้เลขาป.ป.ช.ออกมาชี้แจง แต่ท่านคงรู้ดีว่าควรต้องทำอะไร คิดว่าท่านคงทราบดี เมื่อสังคมตั้งข้อสงสัยวิธีการที่จะให้สังคมคลายความสงสัย ท่านก็ต้องย่อมรู้ดี เมื่อถามว่าในฐานะประธานกรรมาธิการฯ จะดำเนินการอย่างไรต่อไป นั้นในข้อเท็จจริงแล้ว สามารถทำได้ 2 แนวทางถ้ามีคนร้องเรียนมาก็ต้องทำการตรวจสอบ แต่หากไม่มีผู้ร้องเรียนเราก็มีกระบวนการตรวจสอบในตามประเด็นที่คณะกรรมาธิการสนใจ ก็ต้องดำเนินการตามหน้าที่ต่อไป
ส่วนกรณีที่ล่าสุดคณะกรรมาธิการฯ มีมติว่าที่มาของ ป.ป.ช.ไม่ชอบด้วยกฎหมายและจารีตประเพณี ตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข นั้นจะมีการดำเนินการอย่างไรต่อไปนายสุทินกล่าวว่า ขั้นตอนต่อไปก็ต้องนำเข้าสู่ที่ประชุมสภา และผลสรุปการศึกษาก็ต้องนำรายงานเข้าต่อที่ประชุมสภา ซึ่งต้องให้เป็นดุลพินิจของประธานสภาฯในการบรรจุเข้าเป็นระเบียบวาระการประชุม แต่เชื่อว่าน่าจะมีอยู่ในกรอบของการประชุมสภาสามัญนิติบัญญัติอย่างแน่นอน ส่วนการชี้ผลการหมดสภาพการเป็น ป.ป.ชหรือไม่นั้น หากสภาเห็นว่าไม่มีผลให้ป.ป.ช.หมดสภาพเมื่อได้รับรองผลการศึกษาจากคณะกรรมาธิการฯแล้ว ใครจะนำรายงานการศึกษาดังกล่าวไปทำการถอดถอนก็ได้ เมื่อสภาเห็นชอบหลังการประชุมเสร็จสิ้น เราก็ต้องแจงมติสภาเป็นหนังสือไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
*ต้องแจงให้เคลียร์สมัยประชุมนี้
นายสุชาติ ลายน้ำเงิน ส.ส ลพบุรี พรรคพลังประชาชน ในฐานะคณะกรรมการวิปรัฐบาล กล่าวถึงถ้อยคำที่นายนายศราวุธ เมนะเศวต เลขาธิการป.ป.ช. กล่าวว่าหนังสือของราชเลขาธิการเป็นเอกสารลับทางราชการ ไม่สามารถเปิดเผยได้ตามที่เคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ โดยระบุว่า เลขาธิการป.ป.ช. กระทำการให้เกิดความสับสนต่อผู้อื่นอย่างมากทั้งที่ก่อนหน้านี้บอกว่าสามารถดูได้ที่สำนักงานป.ป.ช.ทำให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยกัน กรณีดังกล่าวเลขาธิการป.ป.ช.ต้องเร่งชี้แจงต่อสาธารณชน รวมทั้งเตรียมความพร้อมในการชี้แจงต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ให้เสร็จสิ้นในสมัยวาระการประชุมนี้
เมื่อถามว่าภาพลักษณ์ขององค์กรอิสระในฐานะผู้ผดุงความยุติธรรมแต่ขณะนี้กลับมีการชี้แจงถึงที่มาไม่ชัดเจนนั้น นายสุชาติกล่าวว่า อย่างคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไม่มีใครกล้าที่จะตำหนิ เพราะแตะปุ๊ปมีปัญหาทันที ต้องให้กลุ่มคนในองค์กรอิสระพิจารณาในความเหมาะสม อย่างเช่นป.ป.ชมีการส่งลูกให้คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ (คตส.) โดยองค์กรนี้ตั้งขึ้นมาเพื่อฆ่าทักษิณทั้งนั้น คิดกันเท่านี้แล้วประเทศจะเดินหน้าไปได้อย่างไร ทั้งๆที่มีคดีความทุจริตก่อนหน้านี้ตั้งมากมายแต่ทำไมคตส.ถึงไม่ยอมไปล้วงลูกเสียที ส่วนความชอบธรรมในการทำหน้าที่ต่อไปหรือไม่นั้น คงเป็นเรื่องที่คณะกรรมการในองค์อิสระต้องใช้วิจารณญาณ
*ป.ป.ช.ต้องชี้แจงโดยเร็วที่สุด
นายสุขุมพงษ์โง่นคำ เลขาธิการพรรคพลังประชาชน และรองประธานผู้ประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล(วิปรัฐบาล) กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ในคำสั่งการแต่งตั้งของคณะกรรมการป.ป.ช. ของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ฉบับที่ 19 ในคำสั่งได้กำหนดให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ให้ใช้บังคับต่อไป พร้อมกับยกเว้นเ รื่องในการสรรหา เพราะเป็นการแต่งตั้งโดยรัฐาธิปัตย์ แต่ไม่ได้ยกเว้นเรื่องที่ต้องได้รับการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งจากพระมหากษัตริย์ ซึ่งก็หมายความว่าไม่ได้มีการยกเว้นให้ไม่ต้องรับการโปรดเกล้าฯ นี่ยังทรงเป็นพระราชอำนาจอยู่ จึงชี้ได้ว่าคณะกรรมการป.ป.ช.ยังมีที่มาไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ แต่มาโดยชอบด้วยประเพณี
ดังนั้นการที่เลขาธิการป.ป.ช.กล่าวต่อที่ประชุมสภาว่า หนังสือของสำนักราชเลขาธิการเป็นความลับของทางราชการไม่สามารถเปิดเผยได้ รวมทั้งไม่มีสำเนาหนังสือดังกล่าวที่สำนักงานป.ป.ช. ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้มีการท้าทายให้ผู้ที่สนใจสามารถขอดูได้ที่สำนักงานนั้น เป็นการกล่าวที่กลับไปกลับมาไม่ตรงกันเช่นนี้ ท่านต้องรับผิดชอบในฐานะผู้บริหารระดับสูงของประเทศ พร้อมทั้งเร่งชี้แจงในข้อเท็จจริง โดยเร็วที่สุด
*จ่อร้องศาล รธน.พิจารณา
แต่จะชี้แจงหรือรับผิดชอบอย่างไร ก็ต้องพิจารณาเองในฐานะที่เป็นข้าราชการประจำ แต่ทั้งนี้ในด้านความลับของเอกสารทางราชการหรือไม่นั้นแล้วแต่บางกรณี หรือแล้วแต่ดุลยพินิจของผู้บังคับบัญชาในสำนักราชเลขาธิการ และ ระเบียบปฏิบัติในส่วนราชการนั้นๆ
อย่างไรก็ตามต้องเป็นหน้าที่ของ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส. สัดส่วนพรรคพลังประชาชน ผู้ซึ่งทำการกล่าวในที่ประชุมสภา จะต้องติดตาม ในฐานะที่เป็นผู้เสียหายจากการที่เลขาธิการ ป.ป.ช.ชี้แจงกลับไปกลับมาเป็นเพราะเหตุใด หากเห็นว่าเป็นเรื่องทางวินัยข้าราชการก็ต้องดำเนินการทางวินัย หากเป็นความผิดทางอาญาก็ต้องดำเนินคดีความตามนั้น หรืออาจจะใช้สิทธิ์ในทางพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสาร ตามรัฐธรรมนูญก็ได้ ทุกอย่างมีกระบวนการช่องทางอยู่ หากทางเลขาธิการ ป.ป.ช.ยังนิ่งเฉยอยู่
เมื่อสอบถามเรื่องความชอบธรรมในการบริหารหน้าที่อยู่อีกหรือไม่ นายสุขุมพงษ์ กล่าวว่า เมื่อมีผู้สงสัย และมีความขัดแย้งในข้อกฎหมาย ก็ต้องให้มีผู้ทำการชี้ขาดในเรื่องการดำรงตำแหน่ง โดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ทำการร้องให้ตรวจสอบความชอบธรรมโดยตรงนั้น ต้องทำการร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคุณสมบัติ ตามกฎหมายป.ป.ช. ที่ตามรัฐธรรมนูญได้กำหนดให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้เสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความเป็นสภาพการป.ป.ช. หรือบุคคลใดก็ได้ที่ทำการร้องต่อผู้ตรวจการสิทธิมนุษยชนหากเห็นว่ามีที่มาไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ซี่งผู้ตรวจการแผ่นดินมีสิทธิ์ที่จะหยิบมาพิจารณา
*ป.ป.ช.แจ้งดำเนินคดีม็อบไล่
นายชัยรัตน์ ขนิษฐบุตร นิติกร 9 รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.สุรศักดิ์ สิงห์ไกร รองผกก.สส.สน.ดุสิต เพื่อแจ้งความให้ดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ชุมนุมที่รวมตัวกันขับไล่คณะกรรมการป.ป.ช. ในข้อหาดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ ตามกฎหมายอาญา มาตรา 136 และข้อหา ซ่องโจร ตามกฎหมายอาญา มาตรา 210 โดยนำหลักฐาน เป็นแผ่นซีดีประมวลภาพการชุมนุมของกลุ่มต่อต้านคณะกรรมการ ป.ป.ช.จำนวน 33 แผ่น แผ่นบันทึกภาพและเสียง (วีซีดี) จำนวน 1 แผ่น พร้อมหนังสือร้องทุกข์กล่าวโทษ มอบให้กับพนักงานสอบสวน
ทั้งนี้ หนังสือร้องทุกข์กล่าวโทษดังกล่าวระบุว่า ครั้งแรก เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข กับพวก ในนามกลุ่มต่อต้านพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นายวรัญชัย โชคชนะ กับพวก ในนามกลุ่มต่อต้านพันธมิตรฯ นางสุนันทา ธรรมธีระ กับพวกในนามกลุ่มสตรีเพื่อประชาธิปไตย รวมประมาณ 50 คน ได้เดินทางมาที่สำนักงานป.ป.ช. และกล่าวถ้อยคำขับไล่ ป.ป.ช. จนทำให้อับอายขายหน้า
*ทำให้ ปชช.คิดว่าป.ป.ช.หน้าหนา
ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม นายนพรุจ วรชิตวุฒิกุล กับพวกในนามกลุ่มพิราบขาว 2006 ใช้รถบรรทุกเครื่องขยายเสียง กล่าวหาดูหมื่นคณะกรรมการป.ป.ช.อีกเช่นกัน
ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม เวลา 11.30 น. นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข กับพวก ในนามกลุ่มต่อต้านพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และในนามกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย นายสุเทพ วิภาตะวณิช กับพวก นางสุนันทา ธรรมธีระ กับพวกในนามกลุ่มสตรีเพื่อประชาธิปไตย และนายนพรุจ วรชิตวุฒิกุล กับพวกในนามกลุ่มพิราบขาว 2006 ประมาณ 300 คน เดินทางมารวมตัวที่หน้าสำนักงานป.ป.ช. กล่าวถ้อยคำเป็นการดูหมิ่นคณะกรรมการป.ป.ช. เช่น คณะกรรมการป.ป.ช.เข้ามาทำหน้าที่อย่างไม่ถูกต้อง เป็นพวกรับใช้เผด็จการ ปล้นอำนาจอธิปไตยจากประชาชน เอนเอียงและเลือกปฏิบัติ นอกจากนี้ ยังนำกระเบื้องจำนวน 9 แผ่น เขียนถ้อยคำและติดภาพและชื่อกรรมการป.ป.ช. เพื่อให้ประชาชนหรือผู้อื่นเข้าใจว่า กรรมการป.ป.ช.หน้าหนา
*ระบุทำอับอาย-แห่เหี้ย9ตัวไล่
ครั้งที่ 4 เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม เวลา 10.00 น. นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข กับพวก ในนามกลุ่มต่อต้านพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และในนามกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย นางสุนันทา ธรรมธีระ กับพวกในนามกลุ่มสตรีเพื่อประชาธิปไตย ได้รวมกลุ่มกันที่ลานพระราชวังดุวิต (ลานพระบรมรูปทรงม้า) เดินผ่านถนนพิษณุโลก หน้าสำนักงานป.ป.ช. และถนนนครปฐม หน้าอาคารที่ทำงานของคณะกรรมการป.ป.ช. โดยระหว่างเดิน ได้มีการกล่าวถ้อยคำแสดงการดูถูกเหยียดหยาม สบประมาท ด่าทอ ทำให้อับอายขายหน้า เช่น คณะกรรมการป.ป.ช.มีฐานะเท่ากับเหี้ย เป็นป.ป.ช.เถื่อน ป.ป.ช.ทั้ง 9 คน ตามจำนวนตัวเหี้ยที่อยู่ในกรง พร้อมทั้งเขียน ชื่อกรรมการป.ป.ช.ไว้บนตัวเหี้ย และมีการปล่อยตัวเหี้ยเข้าไปในสำนักงานป.ป.ช.
หลังเข้าแจ้งความร้องทุกข์ และมอบหลักฐานทั้งหมดกับพนักงานสอบสวนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นายชัยรัตน์ เดินทางกลับทันที โดยไม่ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน
ด้านพ.ต.อ.สมชาย เชยกลิ่น ผกก.สน.ดุสิต กล่าวว่า เบื้องต้น ตำรวจจะรับเรื่องร้องทุกข์และลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน จากนั้นจะดำเนินการสอบปากคำ โดยจะส่งเรื่องต่อให้คณะทำงานของ บก.น.1 เพื่อพิจารณาว่า การกระทำดังกล่าว เข้าข่ายดูหมิ่น หรือหมิ่นประมาทหรือไม่