จากกรณีที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ประกาศดีเดย์ชุมนุมใหญ่ล้มรัฐบาลไป เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ที่ผ่านมา จนมีการประเมินกันว่าอาจจะมีผู้คนมาร่วมกิจกรรมจำนวนมากจากการเกณฑ์ผู้คนในหลังจังหวัด โดยเฉพาะพื้นที่ภาคใต้ และอาจจะมีกิจกรรมทางการเมืองที่น่าตื่นเต้น
แต่เมื่อถึงเวลากลับระดมคนมาได้เพียงไม่กี่พันคน และต้องแก้เกี้ยวด้วยการเดินไปยังอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เลยไปสักการะวัดพระแก้ว และก็เดินทางกลับไปชุมนุมที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ตามเดิม โดยที่หลังจากนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมก็ทยอยกลับบ้าน เหลือเพียงเวทีกับบรรดาขาประจำเพียงไม่กี่คนตามเดิมเท่าน้ะน
กรณีดังกล่าว นพ.เหวง โตจิราการ คณะกรรมการประชาชนเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 กล่าวว่า ตอนนี้เท่ากับว่ากลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้พิสูจน์ตัวเองแล้ว ถึงความไม่มีมนต์ขลังอีกต่อไป เท่ากับทำให้ประชาชนที่มาร่วมงานรู้สึกถึงความผิดหวัง เพราะจากการที่นัดรวมพลเพื่อมาขับไล่รัฐบาล และต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ กลับแก้เกมไปปิดล้อมอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และการเดินขบวนไปที่วัดพระแก้ว กลับลำมาใช้พฤติกรรมเข้ากดดันแทนที่จะมาต่อสู้กันทางการเมือง
จำนวนผู้ที่เข้ามาร่วมชุมนุมก็มีจำนวนลดน้อยลง ตอนนี้เปรียบพันธมิตรฯ เป็นนักกีฬา ก็เหมือนกับการชกลม นานๆเข้าคงจะหมดแรงไปเอง เพราะว่าที่ผ่านมาทางรัฐบาลได้ใช้ไม่อ่อนมาโดยตลอด อีกไม่นานก็คงจะสลายการชุมนุมไปเอง
ที่ผ่านมาคนกลุ่มนี้หลอกลวงประชาชนทุกอย่าง เพราะที่ผ่านที่เรียกรวมตัวกันนั้นก็ไม่รู้ว่า
เอาประชาชนมาเล่นลิเกหรือเปล่า เพราะที่ผ่านคนกลุ่มนี้ไม่เคยมีแก่นสารสาระอะไรเลย ออกมาต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งๆ ที่รัฐธรรมนูญได้ระบุชัดเจนว่าในมาตรา 291 ว่าสามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ พอเห็นว่าประเด็นนี้ไม่สามารถสร้างกระแสได้หันความสนใจมาเล่นงานรัฐบาล ซึ่งเขาไม่สามารถทำได้ เพราะรัฐบาลอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ รวมถึงเรื่องของเขาพระวิหาร ที่อ้างเรื่องการเซ็นสัญญาว่าจะทำให้ประเทศไทยเสียดินแดง โดยที่ผ่านมาก็ได้พิสูจน์แล้วว่าประเทศไทยไม่ได้มีการเสียดินแดนแต่อย่างใด
“วันนี้กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไม่มีความชอบธรรมอีกต่อไป แต่พันธมิตรต่างหากที่จะทำให้เกิดความวุ่นวายและสร้างความเดือดร้อนให้แก่ประเทศ”
ทางด้าน นายเมธาพันธ์ โพธิธีรโรจน์ กล่าวว่า ได้มองอยู่ว่า พันธมิตรฯ อาจจะประสบปัญหาในเรื่องของการระดมคน เนื่องจากการเปลี่ยนจุดยืนจากการต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาเป็นการเปลี่ยนแปลงระบอบการเมืองแบบใหม่ ทำให้รู้ว่ากลุ่มพันธมิตรฯ เป็นเผด็จการ แม้แต่พรรคประชาธิปัตย์เองตอนนี้ก็ได้ถอนตัวออกมาจากกลุ่มนี้แล้ว โดยไม่มีการส่งคนไปร่วมปราศรัยบนเวที เพราะรู้ว่าถ้ายังมีความสัมพันธ์กันอยู่ต่อไปทางพรรคเองก็อาจได้รับความเดือดร้อน
ซึ่งตอนนี้กลุ่มพันธมิตรฯ ได้เปลี่ยนพฤติกรรมมาเป็นการก่อกวนไปวันๆ เท่านั้น โดยใช้แผนดาวกระจายไปที่ตามจังหวัดโดยเฉพาะในภาคเหนือ และภาคอีสาน เพื่อสร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้น
จึงอยากเรียกร้องให้ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากการปิดถนนของกลุ่มพันธมิตรฯ ออกมาเรียกร้องความชอบธรรมตามกระบวนการทางกฎหมายของรัฐธรรมนูญ 2550 ในมาตรา 63 วรรคสองที่ได้มีการกำหนดไว้ รวมถึงบุคคลที่ถูกดูถูกด้วยวาจา การให้ร้ายผู้อื่นจากการปราศรัยบนเวทีของกลุ่มพันธมิตรฯ ให้ออกมาดำเนินคดีในเรื่องดังกล่าว
ถึงแม้ว่าตอนนี้กลุ่มพันธมิตรฯ จะใช้กระบวนการดึงคนไม่สำเร็จ ก็ไม่ได้หมายความว่าเหตุการณ์จะน่าไว้วางใจ ตราบใดที่ยังมีกลุ่มทุนสนับสนุน และมีการปลุกระดมผ่านสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวีอยู่สถานการณ์ก็ยังมาน่าไว้วางใจ เพราะคนกลุ่มนี้เรียกร้องให้ทหารออกมาปฏิวัติอยู่ตลอดเวลาเพื่อที่เขาจะได้บรรลุผลที่ได้ตั้งไว้
“แต่ตราบใดถ้าทหารไม่เข้ามาข้องเกี่ยวในเรื่องนี้ โดยปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการดูแลความเรียบร้อยหรือเข้ามาดำเนินการตามกฎหมาย รวมถึงสถานการณ์ตอนนี้ทางรัฐบาลก็ได้ออกมาประกาศแล้วว่าจะไม่มีการสลายการชุมนุม ก็แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลยังมีอำนาจในการบริหารอยู่” นายเมธาพันธ์กล่าว
เพื่อไทย
Monday, August 4, 2008
เย้ย!ดีเดย์พันธมิตรแค่เรื่องขำขำ
รุมเย้ย! ดีเดย์ของกลุ่มพันธมิตรฯ ไม่ยิ่งใหญ่เหมือนกับที่ปลุกระดมเอาไว้ล่วงหน้า สะท้อนชัดว่าเริ่มหมดมนต์ขลัง ประชาชนเริ่มเบื่อหน่าย เพราะไร้จุดยืนเปลี่ยนประเด็นไปได้ทุกวีน จ้องจับผิดรัฐบาลทุกเรื่องจนไร้เหตุผล เชื่อปลุกระดมไม่ขึ้นอีกต่อไป ทำได้อย่างมากก็แค่เดินสายก่อความวุ่นวายไปวันๆ เชื่อถ้าทหารไม่บ้าจี้ออกมาใช้อำนาจเถื่อน บ้านเมืองเดินต่อไปได้สบายมาก