คอลัมน์ : รายงานพิเศษ
หากไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้ พันธุ์ทาง หรือคนที่ชอบอ่านสื่อในเครือพันธมิตรฯ อยู่เป็นประจำ ก็อาจไม่รู้ว่าเร็วๆ นี้ พันธมิตรฯ ออกแถลงการณ์เนื่องในกรณีที่ผู้นำกัมพูชาขึ้นไปทำบุญที่ปราสาทเขาพระวิหาร
เนื้อความแถลงการณ์ไม่ใช่เรื่องใหม่ ไม่มีอะไรสร้างสรรค์ และอาจไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึงในรายละเอียด เพราะกลุ่มพันธมิตรฯ ของ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่กล้าปราศรัยยั่วยุปลุกระดมให้แนวร่วมของตัวเอง รวมทั้งตำรวจทหารทำร้ายหรือเปิดฉากสงครามกับประเทศเพื่อนบ้านได้โดยไม่คำนึงถึงทั้งกฎหมายและมนุษยธรรมนั้น เนื้อหาแถลงการณ์ก็คงเป็นอะไรแนวๆ นั้นที่เราท่านคาดการณ์ได้อยู่
หากแต่ประเด็นที่น่าสนใจมากกว่าหรืออาจจะเป็นเพียงข้อเดียวที่น่าสนใจที่สุดสำหรับความเคลื่อนไหวครั้งนี้ของพันธมิตรฯ ก็คือการอ้างอิงตัวเองว่าพูดในนามใคร และตัวเองเป็นใคร
ก่อนหน้านี้ เป้าหมายของพันธมิตรฯ ที่เรียกร้องให้ “กองทัพ” จัดการอะไรสักอย่างกับการเมืองทั้งที่ไม่ใช่หน้าที่ทหาร บวกกับข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลที่ “ดิ้นได้” และไม่เคยมีคำว่าสิ้นสุดหรือพอเพียง เหล่านี้ก็ทำให้พันธมิตรฯ ดูไร้จุดยืน ทำเพื่อตัวเอง และไม่มีคุณูปการใดๆ ต่อความก้าวหน้าของประเทศ
ต่อมาเมื่อมีความพยายามยกระดับการเคลื่อนไหวของตัวเองด้วยการนำเสนอสิ่งที่เป็นรูปธรรม แต่ “การเมืองใหม่” หรือรูปแบบการเมืองแบบผู้แทนฯ สรรหา 70 เลือกตั้ง 30 ที่เสนอออกมานั้น ก็ไม่ได้ช่วยให้ภาพลักษณ์ของพันธมิตรฯ ดูดีหรือฉลาดขึ้น
ตรงกันข้ามกลับยิ่งประทับตรายางความเป็นพันธมิตรฯ อย่างเด่นชัดยากจะล้างออกว่าเป็นกลุ่มคนที่ไม่เชื่อมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตย ต้องการฟื้นฟูระบอบอภิชนซึ่งสวนทางกับความเป็นไปของประเทศและของโลก…
สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับโมเดลการเมืองนี้จึงคือการเปิดโปงแนวคิดที่แท้จริงของคนที่เรียกตัวเองว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ทั้งที่เป็นแนวร่วมชุมนุม ทั้งผู้มีชื่อเสียงที่ทยอยขึ้นเวทีคนแล้วคนเล่า และแน่นอนว่ารวมทั้งแกนนำทั้งหลายที่ภาพลักษณ์และชื่อเสียงเสียหายกันไปแล้วก่อนหน้า
แต่ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมานี้ ก็ยังไม่ “ล้ำหน้า” เท่ากับสิ่งที่ปรากฏในแถลงการณ์ฉบับล่าสุด
“ล้ำหน้า” ที่หมายความว่า “มากเกินไปแล้ว” ไม่ใช่ก้าวหน้าแต่อย่างใดไม่
แถลงการณ์ที่พาดพิงไปยังผู้นำประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ได้เป็นเพียงแถลงการณ์ในนามของกลุ่มพันธมิตรฯ อันเป็นเพียงกลุ่มพลเมืองกลุ่มหนึ่งของราชอาณาจักรไทย
ไม่ได้เป็นเพียงประชาชนคนไทยที่มีความคิดเห็นแตกต่างกัน แต่อยู่ภายใต้ “ราชอาณาจักร” หรืออาณาจักรของพระราชาองค์เดียวกัน
แต่พันธมิตรฯ กลับเหิมเกริม ระบุว่าตัวเองคือ “ตัวแทนประชาชนแห่งราชอาณาจักรไทย”
ทั้งที่ผู้เดียวที่จะอ้างอิงเช่นนั้นได้ ก็คือองค์รัฐาธิปัตย์หรือรัฐบาล ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันทรงลงพระปรมาภิไธยให้เท่านั้น…
การแอบอ้างตัวเองขึ้นมาจากสถานะข้างถนนเช่นนี้ จึงเป็นความล้ำหน้า ล้ำเส้นที่อันตรายยิ่ง อันตรายต่อเอกภาพภายในประเทศ อันตรายต่อความมั่นคงทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ
สำคัญที่สุด คืออันตรายและระคายเคืองยิ่งต่อพระราชอำนาจ…
สิ่งที่พันธมิตรฯ พยายามทำมาตลอดไม่ว่าจะเป็นการเรียกร้องที่ไม่รู้จักพอ การเสนอการเมืองล้าหลัง การเรียกร้องให้เกิดรัฐประหาร การยั่วยุให้เกิดสงครามระหว่างประเทศ ฯลฯ
คำตอบจึงอยู่ที่ การต้องการสถาปนาตัวเองเป็นอำนาจรัฐอันใหม่อย่างเดียวเท่านั้น
เป็นอำนาจที่ไม่ต้องการได้โดยเข้าตามตรอกออกตามประตู ไม่ต้องการเหน็ดเหนื่อยสร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ ไม่ต้องอาศัยการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยที่แต่ละคะแนนเสียงได้มาแสนยากเย็น
แต่ต้องการอาศัยเส้นทางข้างถนน ตั้งตนเป็นแก๊งป่วนเมือง ก็เพื่อผลที่คุ้มค่ายิ่งกว่า ซึ่งเห็นความพยายามแล้วในวันนี้
ชัดเจนและน่ากลัวถึงเพียงนี้ ก็วานเจ้าหน้าที่บ้านเมืองโดยเฉพาะหน่วยงานฝ่ายความมั่นคงดูด้วยเถิดว่า จะทำอะไรได้บ้าง
อย่าปล่อยให้ประชาชนทั้งประเทศที่อาศัยอยู่ในราชอาณาจักรนี้ ด้วยระบอบการปกครองปัจจุบันนี้…ต้องได้แต่มองโจรกำลังปล้นชาติตาปริบๆ อยู่อีกเลย