ที่มา ประชาทรรศน์
คอลัมน์ : ละครชีวิต
โดย ลพ บุรี
ประชุมสภานัดแรก นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เจอเล่นงานเสียจนอ่วม อาจจะเป็นเพราะเจ้าตัวไม่อยู่ไปเยือนประเทศกัมพูชา ฝ่ายค้านจึงตั้งด่านรุกหนักจนการประชุมกรอบอาเซียน กลายเป็นเวทีไล่ปลดนายกษิต
แต่นั่นไม่สำคัญสำหรับผม เป็นหน้าที่ของฝ่ายค้านที่จะเดินเครื่องชนกับรัฐบาล เพื่อให้รัฐบาลลากตั้ง ยืนขึ้นได้ด้วยลำแข้งลำขาตัวเองบ้าง แล้วหันกลับไปมองว่าควรแก้ไขจุดบอดของรัฐบาลอย่างไร
สิ่งที่ผมมองเห็น ณ วันเดียวกันกับที่ประชุมก็คือ การให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ หรือเรียกว่า “โฟนอิน” ที่เริ่มจะนิยมกันอย่างแพร่หลาย และดูจะเป็นคำยอดฮิตไม่น้อยเลย
นายกษิต เข้าพบหารือทวิภาคีกับนายฮอร์ นัม ฮง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศกัมพูชา และถือโอกาสเยี่ยมคารวะสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาด้วย
สิ่งที่พบ ได้เห็น ได้ยิน แทบจะไม่คาดฝัน แม้จะไม่ค่อยน่าแปลกใจกับพฤติกรรมของคนคนนี้สักเท่าไร แต่แค่ไม่คาดคิดว่าความ “ใจถึง ใจกล้า และหน้าด้าน” ของคนระดับนักการทูตจะเป็นไปได้เพียงนี้
ถ้อยคำที่ออกมาจากปากนายกษิตคือ “ผมคิดว่าท่านฮุนเซน ท่านเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ครับ และท่านได้พูดกับผมประโยคแรกว่า เราเคยรู้จักกันเมื่อ 20 ปีที่แล้ว เพราะฉะนั้น ท่านเป็นผู้หลักผู้ใหญ่พอ แล้วก็เป็นสุภาพบุรุษ เป็นผู้อาวุโสสูงสุดในแวดวงการเมืองของอาเซียน
คิดว่าท่าน (สมเด็จฮุนเซน) ก็คงจะมองไปข้างหน้าในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกัน ผมคิดว่าท่านไม่ใช่เป็นเด็กตอแย
และผมคิดว่าพวกเรา (ผู้สื่อข่าว) ก็อย่าทำหน้าที่หรือพูดตอแยนะครับ เราควรจะรุดหน้าและช่วยกันสร้างสรรค์ ให้ความสัมพันธ์เดินไปข้างหน้าได้”
นี่เป็นประโยคที่พบได้ตามหน้าหนังสือพิมพ์ และสื่อทุกสื่อ ที่สามารถบอกว่าไหล...ของคนที่ชื่อกษิตได้เป็นอย่างดี
อายไหม? ...ไม่อาย! ผมคิดว่านายกษิตคงตอบทั้งในใจและนอกใจว่าอย่างนั้น นายกษิตไม่อาย แต่ผมอาย ประชาชนคนไทยอาย อายที่มีคนช่วยงานบริหารประเทศแบบคุณ!
นายกษิตคงลืมกำพืดเดิมของตัวเอง ว่าพันธมิตรฯ เป็นผู้ให้กำเนิดคลอดตัวเองออกมาจนได้ดิบได้ดี มานั่งหน้าแป้นให้ข้าราชการไหว้ปะหลกๆ ที่กระทรวงบัวแก้ว
ทุกคำที่นายกษิตปราศรัยบนเวทีพันธมิตรฯ เมื่อครั้งปิดบ้านปิดเมืองทุกแหล่งสำคัญของกรุงเทพฯ ปลุกระดมให้คนเสื้อเหลืองทวงความเป็นธรรมกรณีเขาพระวิหาร
ซึ่งอ้างว่าเป็นเพราะการทำงานที่สะเพร่าของ นายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สมัยรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช
ถ้อยคำที่สบถออกมาของนายกษิต ล้วนแต่ถากถาง ดูถูก เหยียดหยาม และหยาบคายต่อสมเด็จฮุนเซนทั้งสิ้น ทั้งหมดนี้นายกษิตลืมสิ้น ลืมแม้กระทั่งเคยด่าว่านายกรัฐมนตรีกัมพูชาเป็นกุ๊ย!
พฤติกรรมเช่นนี้จะให้เรียกอะไรดี จะให้เรียก “ปลาทองตัวพ่อ” คงไม่ผิด เข้ากับยุคสมัยนี้ดี เพราะพูดง่ายเหมือนไม่ผ่านกระบวนการทางความคิด
และก็ลืมได้ง่ายๆ เหมือนกลิ่นเหม็นจากท่อน้ำเสีย ที่คละคลุ้งอยู่ในอากาศได้ไม่นาน แล้วหวังจะให้มันจางหายไปเองตามธรรมชาติ แต่อย่าลืมว่ากลิ่นเหม็นแค่ไหนคนที่ต่อมรับรู้กลิ่นไม่เสื่อมก็ยังจำได้ดี
แม้วันนี้ที่ท่าทีของคนชื่อ “กษิต ภิรมย์” เปลี่ยนไป พลิกลิ้นชมเปาะสมเด็จฮุนเซน และหันมาแขวะสื่อว่าอย่าขุดคุ้ยข่าวที่ตัวเองเคยด่าสาดเสียเทเสียกัมพูชาให้มาระคายหูกันอีก เพื่อความสมานฉันท์ที่ดีของสองประเทศ
อยากจะถุย! ชีวิต เสียเหลือเกิน คนแบบนี้ก็มีด้วย ป่านนี้คงจะกระหยิ่มยิ้มย่องพองขนไม่น้อย ที่สมเด็จฮุนเซนบอกไม่ติดใจ ที่ “เคยถูกด่า” แต่ของอย่างนี้ก็ประมาทไม่ได้ ไม่รู้ว่าในใจใครคิดอะไร
วันนี้ ออกจากประเทศเขามาได้ก็นับว่าบุญท่วมหัว สำหรับคนหน้าไม่อายอย่างนายกษิต!