ที่มา Thai E-News
โดย สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล
ที่มา บอร์ดฟ้าเดียวกัน
18 กรกฎาคม 2552
ผมไม่เชื่อว่า นักการเมืองจะต้องพูดด้วย "ภาษาสรรเสริญพระบารมี" ตลอดเวลาเสมอไป
และ
ชัยชนะของการสร้างประชาธิปไตยในระยะยาว ไม่ใช่อยู่ที่ยึดอำนาจรัฐบาลได้ แต่อยู่ที่สร้างอุดมการใหม่ (New Hegemonic Culture/Ideology) เข้าแทนที่อุดมการกษัตริย์นิยม (Monarchist Ideology) ที่ครอบงำสังคมไทย
"ตามนั้น" แหละครับ
เพราะไม่มีเวลาจะเขียนขยายความต่อ
ยกเว้นแต่ขอเอาพูดอีกนิดเกี่ยวกับประเด็นนักการเมือง โดยฺเฉพาะเชื่อมโยงเข้ากับการต่อสู้ของค่ายทักษิณ-เสื้อแดง รวมถึงประเด็นฎีกา ในขณะนี้
ใครอยากใช้ "คอมมอนเซ้นส์"* เถียงว่า พูดเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ด้วยภาษาอื่นไม่ได้ ต้อง "ภาษาสรรเสริญพระบารมี" อย่างเดียว (ดูตัวอย่างล่าสุดกรณีฎีกา เรื่อง วีระ-3 เกลอ พูดเรื่อง "พ่อ" เรื่อง "กราบบังคมทูลให้พ่อทราบ" บลา บลา บลา )
[*กรัมชี่พูดไว้ดีว่า "คอมมอนเซนส์" คือ "อคติของชนชั้นปกครอง" bias of the ruling class ที่กลายมาเป็น "ความเคยชินในวิธีคิด" ของคนทั้วไป ความสำเร็จเรื่อง ideological hegemony คือ การทำให้เกิด "คอมมอนเซนส์" ในลักษณะนี้]
ผมยืนยันเด็ดขาดว่า ไม่เป็นความจริง
กฎหมายหมิ่น และ รัฐธรรมนุญ มีข้อบังคับ "ทำนองนั้น" จริง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ไม่ใช่พูดอะไรแบบอื่นไม่ได้เลย
(เช่น ตัวอย่างแบบเล็กๆ ความจริงมีมากกว่านี้มาก บทบาท และสถานะของสถาบันกษัตริย์ ควรมีแค่ไหน แม้แต่ปัญหาเรื่องอำนาจของกษัตริย์ในกรณีองคมนตรี เป็นต้น ใครบอกว่า ถ้า - ยกตัวอย่าง - ทักษิณ หรือ "3 เกลอ" พูดไม่ได้?)
ยืนยันเช่นนี้ ไม่ใช่ยุยงให้ใครไปติดคุก ไม่ใช่ยุ ให้ใครเป็น "ดา" หรือ แม้กระทั้ง "โชติศักดิ์" ด้วยซ้ำ
แต่ยืนยันเด็ดขาดว่า ทำได้ และยืนยันว่า อันที่จริง เป็นความจำเป็นสำหรับการสร้างรากฐานทางอุดมการประชาธิปไตยในระยะยาว
การที่มีแต่การใช้ภาษา"สรรเสริญพระบารมี" ตลอดเวลาของนักการเมือง เป็นเรืองของวิสัยทัศน์ และที่สำคัญคือ ความไม่กล้าหาญของนักการเมืองไทยเอง ตลอดระยะยเวลาหลายสิบปีทีผ่านมา
ในส่วนที่สองของชื่อกระทู้ข้างบน ความจริงก็ต้องอภิปรายยาวกว่านี้ แต่ไม่มีเวลา
แต่อยากจะบอกว่า จุดอ่อนใหญ่ หรือลักษณะสำคัญของ ค่ายทักษิณ-ขบวนการเสื้อแดง คือการมองอะไรแบบสายตาสั้น คิดแต่เรื่องการ"ยึดอำนาจคืน" ไม่ได้คิดถึงการสร้าง"ฐานทางอุดมการ" สำหรับประชาธิปไตย ที่พวกเขาอ้างว่า ตัวเองกำลังต่อสู้อยู่
แสดงออกที่การผลิตซ้ำ"วาทกรรม" แบบเดียวกับ "ฝ่ายอำมาตย์" ที่พวกเขาประณามอยู่ตลอดเวลา และคิดอะไรแต่ในเชิงการยึดอำนาจคืน โดยไม่แคร์ต่อเรื่องการต่อสู้ทางความคิด
(ลักษณะ "ตลกร้าย" มากคือ จนป่านนี้ อุปกรณ์ด้านการสื่อสารของฝ่าย "เสือ้แดง" ยังอยู่ในระดับต่ำมาก ไม่ว่าจะเป็นทีวีหรือสิ่งพิมพ์ สิ่งตีพิมพ์เท่าที่มีการออกมา ก็เป็นเพียงเพื่อให้อ่านกันเอง เชียร์กันเองเท่านั้น ไม่สนใจจะทำสิ่งพิมพ์ที่จะต่อสู้ทางความคิดในวงกว้างออกไป ไม่สนใจใช้ความพยายามเอาชนะความคิดที่ไม่เห็นด้วย ด้วยเหตุผล ไมใช่ด้วยการ "ขีดเส้นแบ่งฝ่าย" ว่า "ถ้ามึงเป็นคนละพวกกับกู ไม่เชียร์พวกกู ความเห็นมึงก็ผิด" ซึ่งในระดับชุมชนเว็บบอร์ด แสดงออกในลักษณะที่ไม่สามารถสนใจความเห็นแตกต่างอย่างแท้จริง กลัวเรื่อง "เสี้ยม" เรือ่ง "แตกแยก" และ ลักษณะเหมือน "หมาหมู่" เมื่อเจอความเห็นทีแตกต่าง ปิดกระทู้ ปิดความเห็นที่ไม่เห็นด้วยตลอดเวลา ซึ่งความจริง ก็เป็นการแสดงออกในลักษณะไม่ต่างอะไรกับบรรดาสมุน "ฝ่ายอำมาตย์" นัก)
ปล. อันนี้ฝากนิดหน่อย ถึงคนที่งี่เง่าระดับที่ไม่กี่วันนี้มาถามว่า ผม "รับงานใครมา" หรือ "ได้ค่าจ้างมาเท่าไร" ขอ "เรียนด้วยความไม่นับถือ" ว่า
ตั้งแต่ต้นปี 49 เมื่อเริ่มเกิดวิกฤติ ก่อน รปห. 19 กันยา หลายเดือน ผมยืนยันว่า ทักษิณเป็นนายกฯที่ชอบธรรม และการพยายามโค่นทักษิณนั้น มีแต่จะนำมาซึ่ง (activate) การออกมาใช้อำนาจ "นอกระบบ" ทั้งหลาย
ผมยืนยันเช่นนี้ (ขออภัยทีจำต้องยกตัวอย่าง) ในขณะที่ พี่หมอเหวงยังขึ้นเวทีพันธมิตรด่าทักษิณว่า "ขายชาติ", ขณะที่ อ.ใจ ชูป้าย Thaksin GET OUT, ขณะที่ ดร.สุธาชัย เห็นด้วยกับการไล่ทักษิณ
จริงๆคือ ยืนยันเช่นนี้ ในขณะที่ในวงวิชาการระดับเดียวกัน (จุฬา, ธรรมศาสตร์, เกษตร, ราม, ฯลฯ) แทบจะเรียกได้ว่า ไม่มีใครเชียร์หรือ defend ทักษิณเลยแม้แต่คนเดียว
จนบัดนี้ 3 ปีเศษผ่านไป ผมก็ยังยืนยันเช่นนี้อยู่
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ผมจะต้องเห็นด้วย และ "ว่าอะไรว่าตามกัน" กับทุกอย่างที่ทักษิณ, 3 เกลอ หรือ "เสื้อแดง" เสนอ หรือ ทำ
บรรดาคนที่มีลักษณะเช่นนี้ตามชุมชนเว็บบอร์ด คือ ผู้นำว่าอย่างไร ก็ว่าตามๆไป ไม่รู้จักมองผู้นำอย่างวิพากษ์วิจารณ์ (critical) เลยแม้แตน้อย เป็นการแสดงให้เห็นลักษณะของความไม่ใช่เสรีชนที่แท้จริง เป็นเพียงคนหัวอ่อน ที่ไม่รู้จักใช้ปัญญาที่ธรรมชาติให้มาอย่างแท้จริงเท่านั้น และที่สำคัญ ขาดความกล้าทางการเมือง
เฉพาะกรณีคำพูดของจตุพรว่า "ต่อไปนี้จะหยุดชูประเด็นโค่นอำมาตย์ เพราะจะเป็นการก้าวล่วง" นั้น ผมยืนยันว่า เป็นการพูดเฮงซวย ที่ไม่รับผิดชอบต่อคนที่สู้ตาย พิการ บาดเจ็บ กว่า 2 ปีมานี้เลย
และใครที่ไม่กล้ายอมรับ หรือพยายามมาบ่ายเบี่ยงปฏิเสธว่า นี่ไม่ใช่เป็นคำพูดเฮงซวยจริงๆ คนนั้น
ก็ไม่มีความกล้าหาญในฐานะเสรีชนเพียงพอ