ที่มา ประชาไท
ดังที่เคยได้กล่าวมาแล้วว่า ในแง่ประวัติศาสตร์ ”ชาติ” ของการเมืองสยามประเทศไทยสมัยใหม่ในรอบ ๑๐๐ ปีที่ผ่านมานั้น ถ้าให้เอ่ย “นามและ/หรือพระนาม” ของบุคคลสำคัญๆ (ทั้งหญิงและชาย) สัก ๑๐ ท่าน และถ้ามีทัศนคติที่เป็นวิชาการ มีเหตุมีผลและไม่คับแคบแล้ว น่าเชื่อว่านามปรีดี พนมยงค์ (หรือหลวงประดิษฐ์มนูธรรม) จะต้องติดอยู่ในรายการนี้
ฯพณฯ ปรีดี พนมยงค์ มีความโดดเด่นในหลายต่อหลายเรื่อง เป็นทั้งนักเรียนนักศึกษาที่ปราดเปรื่อง ก้าวขึ้นมาในระดับสังคมชั้นสูงของไทยสยาม ก็ด้วยสติปัญญาความสามารถส่วนบุคคลหรือ “คุณวุฒิ” อันเป็นคุณสมบัติสำคัญของสังคมสมัยใหม่ “ระบอบใหม่” ที่เข้ามาแข่งขันบารมีกับ “ชาติวุฒิ” ในแบบของสังคมเก่าและ “ระบอบเก่า”
ฯพณฯ ปรีดี เป็น “นักปฏิวัติ” หรือ “ผู้อภิวัฒน์” ที่ยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ เพื่อนำมาซึ่งระบอบรัฐธรรมนูญและประชาธิปไตย ท่านดำรงตำแหน่งการเมืองนับแต่เป็นรัฐมนตรี (ลอย) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย การต่างประเทศ การคลัง และเป็นนายกรัฐมนตรี รวมทั้งตำแหน่งสำคัญในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลฯ บทบาทในระดับ “ชาติ” ที่สำคัญอีกด้านหนึ่งก็คือการเป็น “หัวหน้า” ของขบวนการเสรีไทยในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ ทำการต่อต้านญี่ปุ่นและร่วมมือกับฝ่ายสัมพันธมิตร “กู้ชาติ”
แต่ในความสำคัญของ ฯพณฯ ปรีดี นั้น ท่านก็เป็นบุคคลหนึ่งที่ถูกเข้าใจผิดมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทยสยาม (ไม่ใช่ในรอบ ๑๐๐ ปีที่ผ่านมา แต่เป็น ๒๐๐ ปีถึงสมัยกรุงธนบุรีด้วยซ้ำไป) “ภาพลักษณ์” ของท่านมีทั้งที่เป็น “ขาว” ดังคุณสมบัติของความเป็นนักปฏิวัติ นักชาตินิยม ผู้อภิวัฒน์ ผู้ “กู้ชาติ” ดังกล่าวข้างต้น แต่ก็มีความเป็น “ดำ” ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ลอบปลงพระชนม์ เป็นคอมมิวนิสต์ เป็นกบฏต่อต้านราชวงศ์และสถาบันกษัตริย์ นำมาซึ่ง “ระบอบประธานาธิบดี” ดังคำนิยามกระบวนการนี้ของ มรกต เจวจินดา ในหนังสือของเธอ “ภาพลักษณ์ปรีดี พนมยงค์ กับการเมืองไทยฯ” (๒๕๔๓) กับของผาสุก พงษ์ไพจิตร และคริส เบเกอร์ ในหนังสือ Pridi by Pridi (๒๐๐๐)ว่าท่านถูก “กระทำให้เป็นปิศาจ” หรือ demonizationประวัติศาสตร์ของ “ชาติไทย” ซึ่งรวมถึงประวัติและผลงานของ ฯพณฯ ปรีดี พนมยงค์ ดูจะตรงกับข้อสังเกตอันแหลมคมของ “ลูก-หลาน-เหลน” ในหนังสือ ๑ ศตวรรษ ศุภสวัสดิ์ (๒๕๔๓) ที่ว่า
“จนทุกวันนี้ ประวัติศาสตร์ไทยต้องเป็นพิการ ไม่สมประกอบ เพราะถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองจนหมดสิ้น ความเป็นศาสตร์ “วิชาประวัติศาสตร์ไทย” ถูกกำหนดกรอบให้ตกอยู่ตามขอบเขต “ขาว-ดำ” ของอุดมการณ์และทฤษฎี ทั้งของ “ขวา” และ “ซ้าย” ซึ่งต่างก็มีพระเอกกับผู้ร้ายสำเร็จรูปตายตัว แทนที่จะมองข้อเท็จจริงและเหตุผลที่เกิดขึ้นกันอย่างตรงๆ ด้วยสายตาที่ไม่เอนเอียง” (โปรดสังเกตคำว่า “ขาวกับดำ” ซึ่งถ้าจะให้คนรุ่นปัจจุบันเข้าใจ คงต้องเปลี่ยนเป็น “เหลืองกับแดง” กระมัง)เมื่อปี ๒๕๔๓ อันเป็นปีที่ครบรอบ ๑๐๐ ปีชาตกาลของ ฯพณฯ ปรีดี พนมยงค์ และท่านก็ได้รับการเชิดชูเกียรติด้วยการที่รัฐบาลไทยเสนอชื่อให้องค์การยูเนสโก(United Nations Educational Scientific and Cultural Organization) ประกาศรับรอง (ผ่านมาได้อย่างฉิวเฉียด เพราะถูกนักวิชาการใหญ่ “ชาตินิยมกระแสหลัก” mainstream nationalist คัดค้าน) ในฐานะ “บุคคลสำคัญของโลก” มีการจัดการเฉลิมฉลองกันทั้งปีทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน ในปัจจุบันนี้ ดูเหมือนว่า “นามนั้น” ปรีดี พนมยงค์ จะได้รับการ “ขุดแต่ง” (excavated) ขึ้นมา “ฟื้นฟูและบูรณะ” (restored and renovated) ใหม่ในวงกว้างได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็น่าเชื่อว่า กระบวนการ demonization อันยาวนานเป็นเวลาเกือบครึ่งศตวรรษ ที่กระทำอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพโดยความร่วมมือระหว่างฝ่ายอำนาจนิยมกับอนุรักษ์นิยม ทั้งรัฐและเอกชน ทั้ง “สีเขียว” “สีเหลือง” “สีน้ำเงิน” ที่เต็มไปด้วย “โลภะ โทสะ และโมหะ” กับ “อวิชชา” ตลอดจนผลประโยชน์ส่วนบุคคลและพรรคพวก “คณาธิปไตย” และ “อภิสิทธิชน” (พร้อมด้วยความร่วมมือโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัวก็ตาม ของผู้ที่ยึดอยู่กับ political quietism หรือ “ลัทธิเงียบนิยม” ทางการเมือง) นั้น ก็น่าเชื่อว่า ภาพลักษณ์อันดำมืดและความเป็น “ปิศาจ” ถูกฝังลึกลงไปในความทรงจำของผู้คนเยาวชนคนหนุ่มสาวจำนวนไม่น้อย ก็ยังคงอยู่กับเราไปอีกนาน
ท่ามกลางกระบวนการของการสร้าง (construct) ภาพลักษณ์ที่ดำมืดและเป็นลบ ก็มีกระบวนการที่พยายามจะ “รื้อถอน” (deconstruct) เพื่อ “ปฏิสังขรณ์” ขึ้นใหม่ ซึ่งภาพของชีวิตและบทบาทของท่านปรีดี พนมยงค์ ในกระบวนการด้านนี้ ดูเหมือนจะเป็นผู้รักความเป็นธรรม ทั้งผู้ใกล้ชิดสนิทสนมกับ ฯพณฯ ท่านปรีดีเอง อย่างงานของ ไสว สุทธิพิทักษ์, เดือน บุนนาค, หรือ วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร์ ตลอดจนผลงานของผู้ที่สนใจข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์อย่าง สุพจน์ ด่านตระกูล รวมทั้งความโชคดีและมองการณ์ไกลของท่านปรีดีเอง ที่ก่อตั้งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง จนมีลูกศิษย์ลูกหาทั้งโดยตรงและโดยอ้อมรุ่นแล้ว รุ่นเล่า ก็ออกมาประกาศก้องว่า พ่อนำชาติด้วยสมองและสองแขน
พ่อสร้างแคว้นธรรมศาสตร์ประกาศศรี
พ่อของข้านามระบือชื่อปรีดี
แต่คนดีเมืองไทย ไม่ต้องการ
เมื่อครั้งการเฉลิมฉลอง ๑๐๐ ปี เมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๓ (ค.ศ. ๒๐๐๐) ของ “มหาบุรุษ สามัญชน” หนึ่งในกิจกรรมนี้ก็คือ ความพยายามที่จะเรียนรู้ชีวิตและผลงานของท่านปรีดี และแน่นอนที่สุดก็คือ ความเข้าใจที่ถูกต้องว่า “ท่านได้ทำอะไร และไม่ได้ทำอะไร” ทั้ง “สำเร็จและล้มเหลว” ในความเป็นมนุษย์ปุถุชน (หาใช่เป็นเทวดา) ของท่าน และที่สำคัญก็คือใน “สิ่งนั้นที่เรียกว่าประวัติศาสตร์” เป็นเรื่องของ “ข้อเท็จจริงบริสุทธิ์” หรือว่า “ถูกสร้าง ต่อเติม เสริมแต่ง” ขึ้นมาได้อย่างไร มีความจำเป็นหรือไม่เพียงใด ที่ศาสตร์แห่งอดีตนั้น จำเป็นที่จะต้อง “ถูกรื้อถอนและปฏิสังขรณ์” ขึ้นมาใหม่ ครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งนี้เพื่อคนรุ่นปัจจุบันและอนาคต จะได้ไม่ต้องเดินวนและอับจนอยู่ในความมืดบอดดังเช่นที่เป็นมานานแสนนาน
ผลงานของสุพจน์ ด่านตระกูล ในหนังสือเรื่อง “ปรีดีคิด ปรีดีเขียน” ชิ้นที่จัดพิมพ์ขึ้นในโอกาสสำคัญครั้งนั้น เป็นการคัดเลือกและรวบรวมในรูปแบบของ “สรรนิพนธ์” หรือ anthology เพื่อให้ผู้อ่านได้ทราบถึงสิ่งที่ “ปรีดีคิด ปรีดีเขียน” เป็นการนำเสนอเอกสารขั้นต้น พร้อมกับอธิบายต่อท้ายเพื่อทำให้เห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมหาศาลในการศึกษาชีวิตและผลงานของ “มหาบุรุษ-สามัญชน” ผู้นี้ และก็ดูเหมือนว่าสุพจน์ ด่านตระกูล ได้นำขุมทรัพย์เก่าแก่ที่ท่านทำไว้ในช่วงก่อนและหลัง ๑๔ ตุลา ดังกล่าวข้างต้น มาจัดหมวดหมู่ใหม่ในสมกับงานวิชาการที่ท่านเองตั้งตัวเป็น “ทนายจำเป็น”
สุพจน์ ด่านตระกูล เป็นหนึ่งในบรรดานัก “ขุดแต่ง” (excavated) และนัก “ฟื้นฟูและบูรณะ” (restored and renovated) ซึ่ง “โบราณคดี” เรื่อง “ปรีดี พนมยงค์” น่าแปลกที่สุพจน์นั้น หาได้เป็นญาติมิตรสนิท หาได้เคยทำงานร่วม หรือแม้แต่จะเป็นลูกศิษย์ (มธก.) ของ ฯพณฯ ปรีดี แต่อย่างใดไม่ สุพจน์ “เรียนไม่จบระดับมัธยม” และจากคำบอกเล่าของสุพจน์เอง ( ๕ เมษายน ๒๕๔๒) ก็บอกว่า
“ผมเกิดในครอบครัวของพ่อค้าย่อยในชนบท เมื่อวันที่ ๙ กันยายน ๒๔๖๖ ตรงกับวันอาทิตย์ แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๙ ปีกุน ณ บ้านปลายคลองหมู่ที่ ๖ ตำบลเชียรเขา อำเภอปากพนัง (ต่อมาได้แยกเป็นอำเภอเชียรใหญ่ และปัจจุบันได้แยกเป็นอำเภอเฉลิมพระเกียรติ) จังหวัดนครศรีธรรมราช”
สุพจน์เล่าต่อไปว่า
“เริ่มการศึกษาเบื้องต้นจากโรงเรียนประชาบาลใกล้บ้าน แล้วไปต่อชั้นมัธยมต้น ที่โรงเรียนประจำจังหวัด และชั้นมัธยมปลาย ที่กรุงเทพมหานคร แต่ด้วยเหตุปัจจัยหลายประการ การศึกษาภายใต้ระบบโรงเรียนก็ต้องยุติลงในปี พ.ศ. ๒๔๘๓ ขณะกำลังเรียนอยู่ในชั้นมัธยมปีที่ ๖” ก่อนญี่ปุ่นบุกเพียง ๑ ปี
กล่าวได้ว่าหลังจากนั้นแล้ว สุพจน์ก็เข้าเรียนจาก “มหาวิทยาลัยแห่งชีวิต” ดังที่ได้เล่าให้ฟังต่อไปอีกว่า “ความรู้ที่ได้มาจากการศึกษาภายใต้ระบบโรงเรียน จึงเพียงอ่านออก เขียนได้ และคิดเป็น และก็ได้อาศัยความรู้อ่านออก เขียนได้ และคิดเป็น ที่ได้มาจากการศึกษาภายใต้ระบบโรงเรียน ศึกษาเรียนรู้โลกต่อมาทั้งโอกาสโลก สังขารโลก และสัตตโลก เพื่ออธิบายโลกและเปลี่ยนแปลงโลก”
“ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ พรรคพวกได้ชักนำเข้าทำงานกับกองทัพญี่ปุ่น ในฐานะเสมียนโกดัง ประจำอยู่ที่ท่าเรือเขาฝาซี อำเภอละอุ่น จังหวัดระนอง อันเป็นท่าเรือที่ญี่ปุ่นสร้างขึ้นใหม่ บนฝั่งแม่น้ำละอุ่น กม. ๙๓ เพื่อบริการขนส่งยุทธสัมภาระและกำลังพลทางทะเล จากประเทศไทยสู่พม่าอีกเส้นทางหนึ่ง และในโอกาสนั้น ได้เข้าร่วมกับพวกต่อต้านญี่ปุ่น (ขบวนการเสรีไทย) ทำหน้าที่รายงานความเคลื่อนไหวของกำลังพลและยุทธปัจจัยของฝ่ายญี่ปุ่น ที่ผ่านเข้าออกทางท่าเขาฝาซี”
ดูเหมือนสงครามโลกครั้งที่ ๒ นี่แหละ ที่ทำให้สุพจน์ ด่านตระกูล เข้าไปสัมผัสกับปรีดี พนมยงค์โดยไม่รู้ตัว และก็เรียนรู้อะไรต่อมิอะไร จากประสบการณ์ของความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่หลวงของโลกในกลางศตวรรษที่แล้ว และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น ก็คือ “ภายหลังสงครามได้เข้าทำงานหนังสือพิมพ์ โดยเริ่มจากเจ้าหน้าที่ตรวจปรู๊ฟ (พิสูจน์อักษร) ผู้สื่อข่าวโรงพัก (ข่าวอาชญากรรม) ผู้สื่อข่าวกระทรวง (ข่าวการเมืองและข่าวราชการ) และจากหน้าที่ผู้สื่อข่าวการเมือง จึงทำให้เกิดความสำนึกทางการเมือง และนำไปสู่การเคลื่อนไหวทางการเมือง
จนกระทั่งถูก “ระบอบพิบูลสงคราม” จับกุมในคดี ๑๐ พฤศจิกายน ๒๔๙๕ (หรือที่รู้จักกันในนามของ “กบฏสันติภาพ”) ในข้อหากบฏภายในและภายนอกราชอาณาจักร ถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุก ๒๐ ปี แต่ลดเหลือ ๑๓ ปี ๔ เดือน แต่ติดคุกอยู่ประมาณ ๕ ปี ก็ได้รับนิรโทษกรรมในคราวฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ ในสมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม
มหาวิทยาลัยแห่งชีวิต (ในคุก) ในสมัย “ระบอบพิบูลสงคราม-ผิน-เผ่า-สฤษดิ์-ถนอม” นั้น ทำให้สุพจน์กล่าวอย่างมั่นใจว่า “โดยที่มีความสำนึกทางการเมืองและสนใจการเมือง จึงได้ขวนขวายศึกษาหาความรู้เรื่องการเมืองจากท่านผู้รู้ ที่มีความคิดทางการเมือง ฝ่ายก้าวหน้า รวมทั้งแสวงหาหนังสือฝ่ายก้าวหน้ามาอ่าน และสนใจศึกษาค้นคว้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยภายหลัง ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ อย่างรับผิดชอบ”
สุพจน์กล่าวเสริมอีกว่า
“รวมทั้งเจริญรอยตามบาทพระพุทธองค์ ศึกษาค้นคว้าเรื่องของโลกทั้งสามอย่างมนสิการ จึงได้สรุปความเข้าใจออกมาเป็นข้อเขียนจำนวนหนึ่ง มีต้นฉบับอยู่ประมาณ ๗๐ เรื่อง ส่วนเขียนแถลงการณ์และสาส์นในโอกาสต่างๆ นั้นอีกจำนวนหนึ่ง”
ซึ่งรวมแล้ว อาจจะมากกว่าผลงานของดุษฎีบัณฑิตหรือศาสตราจารย์ (ของรัฐและเอกชน) ด้วยซ้ำไป
ในบรรดาผลงานนิพนธ์เหล่านั้น ก็มีสิ่งที่เรียกได้ว่าเป็น magnum opus คือ ชีวิตและงานของ ดร.ปรีดี พนมยงค์ ที่ตีพิมพ์ครั้งแรก ๒๕๑๔ (และตีพิมพ์ครั้งที่ ๓ ปี ๒๕๔๓) และ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีสวรรคต (ฉบับสมบูรณ์) ตีพิมพ์ครั้งที่ ๓ ปี ๒๕๔๔ รวมอยู่ด้วย
จากการค้นคว้างานหลายๆชิ้นนี้ ก็กลายเป็นฐานทางวิชาการอย่างสำคัญที่ทำให้สุพจน์ ด่านตระกูล สามารถ “ขุดแต่ง ฟื้นฟู และบูรณะ” ปรีดี พนมยงค์ ได้อย่างเข้มข้น รวมทั้งชุดย่อยๆ เล็กๆ ที่ออกมาเป็นครั้งคราว ราคาถูก ในช่วงทศวรรษ ๒๕๑๐ ที่กล่าวมาแล้ว ก็ทำให้ประชามหาชนพอจะได้เปิดหู เปิดตาขึ้นบ้างต่อ “สัจจะและความเป็นจริง” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “หน้าประวัติศาสตร์อันดำมืดและบิดเบี้ยว” นั้นของ “ชนชาติไทยสยาม”
การรวบรวมและจัดพิมพ์ครั้งนั้น ก็เพื่อเฉลิมฉลอง ๑๐๐ ปีชาตกาลฯ ดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้โดยความสนับสนุนของคณะกรรมการดำเนินงานฉลอง ๑๐๐ ปีชาตกาลฯ ภาคเอกชน และก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผลงานนี้จะมีส่วนในกระบวนการที่เกิดขึ้นใหม่ดังบทกวีของ “เฉินซัน” ๒๐ มิถุนายน ๒๕๒๗ ที่ว่า
เมื่อความดีทุกอย่างยังคงอยู่ประชาชนย่อมรู้ว่าที่นี่
‘มหาบุรุษ’ จักต้องมี
เมื่อนั้นท่านปรีดีจะกลับมา