ที่มา บางกอกทูเดย์
ปกติคนส่วนใหญ่ หากจะตัดสินใจผิดๆ เลือกหนทาง“ฆ่าตัวตาย” ก็ต่อเมื่ออยู่ในสภาพที่แร้นแค้นแสนสาหัสจนคิดว่าเมื่อหาทางออกอื่นใดไม่เจออีกแล้ว ก็จะเลือกตัดช่องน้อยแต่พอตัวฆ่าตัวตายให้รู้แล้วรู้รอดไป!!ซึ่งในศาสนาพุทธจะไม่เห็นด้วยและไม่ยอมรับกับเรื่องการฆ่าตัวตาย โดยชี้ให้เห็นว่าการฆ่าตัวตายไม่ได้เป็นจุดสิ้นสุดของปัญหา แม้ฆ่าตัวตายไปแล้วปัญหาก็ยังคงอยู่ศาสนาพุทธจึงให้ถือว่าการฆ่าตัวตายเป็น อนันตริยกรรมใครขืนทำจะไม่ได้ผุดได้เกิดชั่วกัปชั่วกัลป์กว่าจะพ้นกรรมดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุผลอย่างที่สุดสำหรับคนที่กำลังประสบความสำเร็จ สำหรับคนที่กำลังยืนอยู่ในจุดสูงสุดของชีวิต จะเลือก “ฆ่าตัวตาย” ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามแต่สำหรับแวดวงการเมืองไทยแล้ว อะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น? ฉะนั้น การที่จู่ๆ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะมีการกระทำที่สุ่มเสี่ยงและใกล้ชิดชนิดเส้นยาแดงผ่าแปดกับการ “ฆ่าตัวตายทางการเมือง”จึงเป็นเรื่องที่ก่อให้เกิดคำถามอย่างมากมายว่า“นายอภิสิทธิ์คิดอะไรอยู่???”เพราะเริ่มจากเรื่องคดียิง นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำ กลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งจริงๆ แล้วควรจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคนเจนจัดทางการเมืองอย่าง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคง ซึ่งถือเป็นหน้าที่โดยตรงที่จะต้องดูแลอยู่แล้ว เป็นคนรับเผือกร้อนเรื่องนี้ไปแต่นายอภิสิทธิ์ไม่รู้ไปกินดีหมีหัวใจเสือ หรือได้ข้อมูล ที่เชื่อมั่นอะไรมากมายว่า การลงมาเล่นเกมนี้ด้วยตนเอง จะนำมาซึ่งชัยชนะเบ็ดเสร็จทางการเมือง จึงแอ่นอกหราออกมารับลูกของ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร. ที่เป็นผู้คุมคดีโดยตรง รวมทั้งยังรับลูกจากการเร่งจี้ ของนายสนธิด้วย จนทำให้กระทบกระทั่งกับ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. และลุกลามบานปลายไปมากกว่าที่คิด เพราะแม้แต่ นายสุเทพเอง ทั้งๆ ที่เป็นผู้จัดการในการจัดตั้งรัฐบาลก็ยังพลอยมีร่องรอยของความไม่ลงรอยเกิดขึ้นในเรื่องนี้และแน่นอนว่า คนในตระกูล วงษ์สุวรรณ โดยเฉพาะ บิ๊กป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ชายแท้ๆ ของพล.ต.อ.พัชรวาท แสดงอาการ “รับไม่ได้” และพร้อมที่จะเปิดศึก
ซึ่งถือเป็นแรงกดดันที่สำคัญ เพราะข้างหลังของบิ๊กป้อมนั้นยังมีเงาของอีกหลายบิ๊กเรียงรายจับมือกันอยู่ โดยเฉพาะกลุ่มที่ถูกจับตาว่าเป็น กลุ่มอำนาจใหม่ ซึ่งมองกันว่าน่าจะมี บิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. รวมอยู่ในกลุ่มด้วยแรงไม่แรง ก็เล่นเอานายอภิสิทธิ์ถึงกับเครียด!! ต้องล้มการแถลงข่าวที่จะมีนายสนธิเข้าฟังด้วย เพราะแม้แต่นายสุเทพยังยอมรับไม่ได้และลากิจไปพักร้อนเอาดื้อๆและกลายเป็นพลาดซ้ำแล้วซ้ำอีกจนมาพาลเอากับสื่อมวลชนเมื่อถูกตั้งคำถามตามกระแสว่า ตกลงจะเปลี่ยนตัว ผบ.ตร.จริงหรือไม่ และทำไมจึงพูดไม่ตรงกันในเรื่องการลาไปต่างประเทศของ พล.ต.อ.พัชรวาท รวมทั้งจะตั้งใครรักษาราชการแทนระหว่างที่ พล.ต.อ.พัชรวาท ไม่อยู่???ซึ่งเรื่องนี้จริงๆ แล้วหากนายอภิสิทธิ์ไม่เครียดจนอารมณ์กระเจิดกระเจิง ก็ย่อมจะรู้ได้ด้วยตัวเองว่า ที่สื่อมวลชนตั้งคำถามนั้นเป็นการทำหน้าที่จริงๆ เพราะช่วงนั้นกระแสข่าวเรื่องการปลด พล.ต.อ.พัชรวาท มีออกมารายวันแล้วสื่อจะไม่ถามได้อย่างไร??แต่กลายเป็นว่านายอภิสิทธิ์กลับออกอาการหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด จากคำตอบเมื่อวันที่ 1 ส.ค. ที่ถูกถามว่า ผบ.ตร.พูดไม่ตรงกับนายกฯ โดยบอกว่าไม่เคยขอลาพักร้อน“ไม่มีเรื่องที่ไม่ตรงกัน อย่าไปทำให้มันมีปัญหา ผมกับผบ.ตร. คุยกันแล้ว เข้าใจกันดีแล้ว รู้ว่าจะต้องทำอะไรอย่างไร อย่าไปหยิบเอามุมตรงนั้นตรงนี้นิดๆ หน่อยๆ ว่าคำพูดตรงกันไม่ตรงกัน ไม่มีหรอก เข้าใจกันดีทุกอย่างผมคุยกับ ผบ.ตร. ตลอด”เมื่อถูกถามย้ำว่า ผบ.ตร. ให้สัมภาษณ์หนักแน่นว่า ในวันที่3 ส.ค. จะยังมาทำงานตามปกติ ไม่ลาไปไหน นายอภิสิทธิ์กล่าวด้วยน้ำเสียงมีอารมณ์ว่า“ผมก็บอกว่าสัปดาห์หน้า ผมบอกวันจันทร์หรือครับ??ผมไม่ได้บอกว่าวันจันทร์นี่ครับ” เมื่อผู้สื่อข่าวแย้งว่าแต่วันจันทร์ก็เป็นต้นสัปดาห์หน้า นายอภิสิทธิ์กล่าวตอบโต้ทันควันว่า“ผมไม่เคยบอกว่าต้นสัปดาห์ ผมบอกแต่สัปดาห์หน้า
อย่าไปหยิบหรือพยายามให้มันมีปัญหาสิครับ พูดกันรู้เรื่องแล้วไม่มีปัญหาอะไรเลย ทุกอย่างเรียบร้อยดี แต่อาจจะมีบางคนไม่อยากให้เรียบร้อยเท่านั้นเอง”และเมื่อถูกถามว่า สรุปแล้ว พล.ต.อ.พัชรวาท จะอยู่ในตำแหน่งจนเกษียณอายุราชการใช่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์อึ้งไปพักหนึ่งก่อนจะตอบว่า“ก็เวลานี้ไม่มีประเด็นอะไรที่จะไปพูดเรื่องนั้นอีกอย่าพยายามไปสร้างประเด็นขึ้นมาใหม่ เพื่อให้เป็นปัญหาความขัดแย้งอะไรทั้งสิ้นบ้านเมืองจะได้เดินไปข้างหน้า ยังมีเรื่องอีกเยอะที่สังคมควรให้ความสำคัญในขณะนี้ อย่ามาเสียเวลากับเรื่องอย่างนี้เลยครับเพราะมันเป็นเรื่องของการเมืองไปแล้ว”และก็ดูท่าว่าจะเป็นเรื่องการเมืองจริงๆ เพราะหลังจากนั้นก็มีการถูกเปิดประเด็นขึ้นมาว่า ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมีปมเงื่อนจากการที่นายกรัฐมนตรีและคนใกล้ชิดเข้าไปล้วงลูกจัดโผโยกย้ายตำรวจ ทั้งระดับนายพลและโผตำรวจทั่วประเทศมีความต้องการจัดสรรในสัดส่วน 70-30กลายเป็นประเด็นโผตำรวจพ่นพิษในทันทีเพราะในความจริง แม้แต่นายกรัฐมนตรีก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปแทรกแซง กดดัน โผตำรวจที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการตำรวจ (ก.ตร.) แล้วยิ่งเมื่อ พล.ต.อ.อชิรวิทย์ สุพรรณเภสัช อดีตโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ออกมาระบุว่า ได้แนะนำนายอภิสิทธิ์ไปแล้วครั้งหนึ่งว่าให้ศึกษาตัวบทกฎหมายให้ดีเพราะนายกรัฐมนตรีมีหน้าที่ในการบริหารงานตำรวจ มีสิทธิเสนอชื่อตำรวจได้ตำแหน่งเดียว คือ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเท่านั้น ในฐานะประธาน ก.ต.ช. และประธาน ก.ตร.แต่ในการแต่งตั้งโยกย้ายที่ต่ำกว่ารองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติลงมา เสนอชื่อโดย ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
เป็นไปตามกฎหมาย“นายกรัฐมนตรีที่สำเร็จการศึกษามหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของประเทศอังกฤษย่อมต้องตระหนักดีว่า หน้าที่ของนายกรัฐมนตรีเป็นเพียงผู้กำหนดนโยบายการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจเป็นภาระของผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น ที่มองพฤติกรรมของตำรวจแต่ละนายว่าสมควรได้รับการแต่งตั้งไปดำรงตำแหน่งใด ไม่ใช่หน้าที่ของฝ่ายการเมืองที่คิดว่าตัวเองมีอำนาจจะเข้าไปก้าวก่ายล้วงลูกย่อมเกิดผลกระทบที่เสียหายกับองค์กรตำรวจ และเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย”“ฉะนั้น นายกรัฐมนตรีมีหน้าที่อย่างเดียว คือ การตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนใหม่ให้เหมาะสม ขอความกรุณานายกรัฐมนตรีอย่าได้พยายามให้ใครผู้อื่น ทั้งที่อยู่ใกล้ชิดและแวดล้อมนายกฯเข้ามาชี้นำตำรวจ” อดีตโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยืนยันสำหรับการยกเลิกคำสั่งแต่งตั้งนายพล 152 ตำแหน่งพล.ต.อ.อชิรวิทย์ บอกว่า อยากลองให้นายกรัฐมนตรีลงมาล้วงลูกยกเลิกคำสั่ง แล้วจะรู้ว่าผลเป็นอย่างไร??คนที่จะหน้าแตกที่สุด คือ คนที่ทำให้นายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรีในการประชุม ก.ตร. นายสุเทพนั่งหัวโต๊ะเป็นประธาน ก.ตร.การยกเลิกคำสั่งนายพล 152 ตำแหน่ง เท่ากับว่าได้มอบหมายนายสุเทพให้ทำไปเท่านั้น แต่นายกรัฐมนตรีไม่ได้ไว้วางใจถ้าเป็นอย่างนั้น นายสุเทพต้องพิจารณาตัวเองที่สำคัญ พล.ต.อ.อชิรวิทย์ ตั้งข้อสังเกตว่า ต้องถามว่า
นายอภิสิทธิ์ขณะนี้มี ทีมทำงานฝ่ายกฎหมาย หรือไม่เพราะกรณี พล.ต.อ.พัชรวาท ไม่ปรากฏว่ามีการกระทำผิดถึงกับทำความเสียหายกับทางราชการ และจริงๆ ก็มีอายุราชการเหลือไม่เกิน 59 วัน จะพ้นจากหน้าที่ จึงไม่มีเหตุผลประการใดเลยที่ต้องมาทำให้ พล.ต.อ.พัชรวาท ต้องพ้นจากตำแหน่ง“การหักด้ามพร้าด้วยเข่า ที่คิดออกคำสั่งให้ พล.ต.อ.พัชรวาทไปช่วยราชการตามกฎหมาย ระเบียบการปกครองแผ่นดินหากศาลปกครองสั่งสวนคำสั่งนายกฯ ให้ ผบ.ตร. กลับมาปฏิบัติหน้าที่ นายกรัฐมนตรีต้องเป็นผู้ที่รับผิดชอบ ซึ่งในอดีตเคยมีมาแล้ว เพราะศาลปกครองจะให้ความคุ้มครองข้าราชการที่ปฏิบัติหน้าที่เต็มที่”พล.ต.อ.อชิรวิทย์ ให้ความเห็นอย่างมั่นใจแต่งานนี้นายอภิสิทธิ์ไม่ได้เจอเพียงแค่ขั้นกรุณาสั่งสอนจากผู้ใหญ่ที่รู้จริงเท่านั้น หากยังเจอศึกหนักจาก ส.ว.สรรหาจอมสอย นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ที่ได้ส่งหนังสือร้องเรียนผ่านทางไปรษณีย์ ขอให้ นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตรวจสอบการกระทำของนายอภิสิทธิ์ ที่มีพฤติกรรมในลักษณะเข้าไปก้าวก่ายหรือแทรกแซงการปฏิบัติราชการ หรือการดำเนินงานในหน้าที่ของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งอาจเป็นการกระทำการต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 268 ประกอบมาตรา 266(1)อันจะมีผลทำให้สมาชิกภาพของความเป็นนายกรัฐมนตรีอาจต้องสิ้นสุดลงตามมาตรา 106(6) หรือมาตรา 119(5) ได้เล่นเอาดิ้นพล่านกันไปทั้งรัฐบาลและพรรคประชาธิปัตย์โดยที่มี นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรค
ประชาธิปัตย์ มาทำหน้าที่องครักษ์และนายกองร้องด่าท้าทายกราดดะไปหมด เพื่อปกป้องนายอภิสิทธิ์“นายเรืองไกรมีสิทธิยื่นเรื่องให้ กกต. สอบ แต่อยากให้มีความรอบคอบ เกรงจะเป็นเรื่องรก กกต. ทำให้เสียเวลาแต่หาก กกต. รับไว้พิจารณา นายกฯ ก็พร้อมที่จะให้ความร่วมมือเข้าชี้แจงอยู่แล้ว” นายเทพไท กล่าวตามด้วยนายสุเทพที่ยังซื้อกันไม่ได้ ขายกันไม่ขาดต้องออกมายืนยันอีกคนว่า ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีหากนายกรัฐมนตรีสั่งการอะไรก็ต้องปฏิบัติตาม แต่ขอยืนยันว่านายกรัฐมนตรีไม่ได้เข้าไปล้วงลูกการแต่งตั้งโยกย้ายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติในขณะที่นายอภิสิทธิ์ก็ออกมายืนยันซ้ำว่า เรื่องต่างๆได้มีการหารือกับนายสุเทพก่อนแล้ว และนายสุเทพบอกว่าทำได้ ไม่ผิดกฎหมายแต่ไม่ว่าอย่างไร ทางพรรคเพื่อไทยก็เดินหน้าเตรียมยื่นถอดถอนนายกรัฐมนตรี ฐานล้วงลูกการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจแน่ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นกับนายอภิสิทธิ์รอบนี้ แม้แต่ นายบรรหารศิลปอาชา อดีตนายกรัฐมนตรีและอดีตหัวหน้าพรรคชาติไทยยังต้องออกโรงช่วยเตือนสติว่า“ต้องทำอะไรให้รอบคอบมากกว่านี้ คนข้างๆ สำคัญเชื่อมากก็ไม่ดี”ก็ไม่รู้ว่านายอภิสิทธิ์จะได้คิดบ้างหรือไม่???หรืออาจยังสนุกกับการเสี่ยงที่จะฆ่าตัวตายทางการเมืองอยู่เรื่อยๆ ก็เป็นได้!!!ระวัง สุดท้ายอาจจะตายน้ำตื้นเอาง่ายๆ ถ้ายังฟังคนรอบข้างโดยที่ตัวเองก็ไม่รู้หรือไม่มีประสบการณ์แบบนี้แต่ที่แน่ๆ ศึกปลด ผบ.ตร.เที่ยวนี้ “บิ๊กป๊อด” อยู่ได้...เพราะสุดท้ายมาร์คจะปอด!!แต่มาร์คจะอยู่ได้หรือไม่???...นี่สิน่าคิด!! ■