ที่มา บางกอกทูเดย์
แม้คณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่มี “นายดิเรก ถึงฝั่ง” สมาชิกวุฒิสภานนทบุรี เป็นประธานจะได้ข้อสรุปว่า...ต้อง แก้ไขรัฐธรรมนูญ 6 ประเด็น แล้วจะเป็นทางออกของวิกฤติความแตกแยกของคนในชาติก็ตามแม้ผมจะเห็นด้วยทุกข้อ...แต่ก็ยังไม่พออดีตผู้ว่าฯ ดิเรก เสนอว่า...ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา237 เรื่องยกเลิกการยุบพรรคและการเพิกถอนสิทธิหัวหน้าและกรรมการบริหารพรรคในกรณีผู้สมัคร ส.ส.ทุจริตการเลือกตั้ง ให้ลงโทษเฉพาะตัวผู้สมัครฯแก้ไขมาตรา 93-98 เรื่องที่มาของ ส.ส.ให้ไปใช้ระบบแบ่งเขตๆ ละคน และระบบบัญชีรายชื่อแก้ไขมาตรา 111-121 ให้ ส.ว.มาจากการเลือกตั้งทั้งหมดแก้ไขมาตรา 190 กำหนดประเภทหนังสือสัญญาที่ต้องทำกับต่างประเทศให้ชัดเจนว่า ประเภทใดต้องขอความเห็นชอบจากรัฐสภาแก้ไขมาตรา 265 ให้ ส.ส.ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเช่น เลขาฯ รัฐมนตรีได้แก้ไขมาตรา 266 ให้ ส.ส. และ ส.ว. สามารถเข้าไปช่วยแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนได้ซึ่งรัฐบาลโยนไปให้รัฐสภาดำเนินการ...ทั้งที่เรื่องนี้รัฐบาลเป็นเจ้าภาพมาตั้งแต่ต้น นี่คือ “นิสัยถาวร” ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่เห็น
มานานคือ เรื่องอะไรจะเข้าตัว...ต้องปัดให้พ้นตัวไว้ก่อนโดยทำทีว่า “นายสะอาด” เห็นด้วยแต่ “นายไม่สะอาด”อีกหลายคนในพรรคไม่เห็นด้วยแต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับที่ผมเห็นว่าทางออกจากวิกฤติไม่ได้มีแค่นี้...ต้องทำมากกว่านี้และขอให้รัฐบาลและผู้เกี่ยวข้องไปหาหนังสือชื่อทางออกวิกฤติ ความขัดแย้งแตกแยกในระบบสังคมการเมืองไทย มาอ่านแล้ว ดวงตาจะเห็นธรรมไม่ต้องดูชื่อหรอกว่าใครเขียน...เพราะเดี๋ยวจะไม่อ่าน!แม้คนเขียนชื่อ “สุนัย เศรษฐ์บุญสร้าง” ที่ทำงานอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ “คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์”มานานแต่เขาเขียนหนังสือเล่มนี้ด้วยหัวใจที่เป็นกลางและรู้จริงสุนัย เป็นพุทธศาสนิกชนที่ปฏิบัติตัวตนอย่างเคร่งครัดในพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ และนำหลักธรรมมาประกอบข้อเขียนอย่างแยบยลเขาเขียนถึงเหตุแห่งปัญหาและทางออกของปัญหาไว้อย่างมีเหตุผลขนาด ดร.สมบัติ จันทรวงศ์ เขียนคำนิยมว่า สุนัยกล้าคิดอย่างทะลุทะลวงกับกับดักทางการเมือง ที่เป็นปัญหาเฉพาะตัวของระบอบประชาธิปไตยปัจจุบันที่ท้ายสุดแล้วจะทำให้ตัวตนประเทศไทยอ่อนแอลงจนอาจนำไปสู่จุดล่มสลายของสังคมไทยหาอ่านซะ...โดยเฉพาะพวกอมาตย์และ คมช. ทางออกวิกฤติ ความขัดแย้งแตกแยกในระบบสังคมการเมืองไทยดวงตาจะได้เห็นธรรม ■