WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Monday, August 3, 2009

จาก ‘แม้ว’ ถึง ‘มาร์ค’ 6 เดือนจะกลับไทย?

ที่มา บางกอกทูเดย์

สถานการณ์การเมืองไทยในเวลานี้ยังคงเต็มไปด้วยความขัดแย้ง ยังคงไม่มีวี่แววของความต้องการสมานฉันท์ที่แท้จริงในจิตใจของกลุ่มบุคคลที่กุมอำนาจบริหารประเทศในปัจจุบันน่าสงสารปนสมเพชมากที่สุด เห็นจะเป็น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่สถานการณ์บวกกับความต้องการที่รีบร้อนในการเป็นนายกรัฐมนตรีทั้งๆ ที่โดยคุณสมบัติต่างเป็นได้แน่นอนอยู่แล้วแต่เพราะความรีบร้อนอยากได้อยากเป็นเร็วจนเกินไปนั่นแหละที่ทำให้พลัดหลงเข้า “บ่วงมาร” จากการที่น่าจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีอย่างสง่างาม ท่ามกลางเสียงเชียร์จากประชาชนคนเลือกตั้งทั้งหลายกลับกลายเป็นนายกรัฐมนตรีที่อยู่ภายใต้การขี่คอทวงบุญคุณของบรรดาผู้สนับสนุนวันนี้แม้รู้แล้วว่าคนกลุ่มต่างๆ ที่อยู่รอบข้างสนับสนุนขึ้นมาก็เพียงเพื่อจะอาศัย ภาพลักษณ์ ของนายอภิสิทธิ์ เป็นเกราะในการแอบแฝงเข้ามาหาผลประโยชน์ทางการเมือง หาทางตักตวงเพื่อตนเองทั้งสิ้นวันนี้นายอภิสิทธิ์รู้ซึ้งแล้วจริงๆ...ในวันที่เริ่มจะโดดเดี่ยวมากขึ้นเรื่อยๆก็ขนาดเป็นนายกรัฐมนตรี จะสร้างความชัดเจนในเรื่องรูปคดีเพียงแค่คดีเดียว ยังทำไม่ได้เลย!!!

กลายเป็นกระทบคนนั้นกระเทือนคนนี้...ห้ามยุ่งห้ามแตะคนนามสกุลนั้นนามสกุลนี้...แถมยังมีการพยายามลากโยงคดีให้ไปพัวพันกับวัตถุประสงค์ทางการเมืองเข้าให้อีก...ไม่เหนื่อยวันนี้แล้วจะเหนื่อยวันไหนแม้แต่พี่เลี้ยงใกล้ตัวภายในพรรค คนที่ชื่อ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ที่เคยวิ่งประสานจัดตั้งรัฐบาลให้จนได้เป็นนายกรัฐมนตรีสมใจอยาก แม้จะถูกสื่อรู้ทันและให้ฉายาของรัฐบาลว่า “รัฐบาลเทพประทาน”มาวันนี้ก็กลายเป็น “เทพไม่ปลื้ม”ลากิจเอาในวันไคลแมกซ์ จนทำให้นายอภิสิทธิ์ต้องยอมกลืนน้ำลายนายกรัฐมนตรี ไม่กล้าแถลงไม่กล้าพูดเรื่องคดียิงสนธิแถม นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำม็อบพันธมิตรฯ ก็ทันเกมเพราะแม้ก่อนหน้าได้บอกไว้ว่าจะมาฟังแถลงด้วยตนเอง...แต่สุดท้ายก็หายเข้ากลีบเมฆเพราะดูอาการก็รู้แล้วว่า “มาร์ค” โดดเดี่ยวจนยะเยือกย่อมไม่กล้าที่จะพูดเรื่องนี้แน่สุดท้ายคดีนี้ก็คงดำเนินไปเรื่อยๆ นับถอยหลังไปเรื่อยๆตามวันเวลาที่หดสั้นลงของอายุราชการของ พล.ต.อ.ธานีสมบูรณ์ทรัพย์ รองผู้บัญชาการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติซึ่ง 30 กันยายนที่จะถึงในอีกเดือนเศษๆ นี้ก็จะเกษียณอายุแล้วเช่นเดียวกับ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็คงจะสบายใจแน่นอนแล้วว่าสามารถเกษียณอายุบนเก้าอี้ ผบ.ตร. ได้อย่างแน่นอนเช่นกันเพราะหลังจากปฏิบัติการประกาศศักดาของใครหลายๆ คนที่ทำให้นายอภิสิทธิ์รู้ชัดในความโดดเดี่ยวไม่มีใครของตนเองแล้วสถานการณ์ก็เปลี่ยนไป จนสบายใจที่จะไปราชการต่างประเทศได้แบบ เบิร์ด เบิร์ด

ที่จะหน้าเครียดก็เห็นจะมีแต่นายอภิสิทธิ์คนเดียวนั่นแหละ!!!เพราะแม้แต่เรื่องเศรษฐกิจที่พยายามพูดย้ำพูดซ้ำว่า ทุกอย่างจะดีขึ้น ทุกอย่างจะฟื้นในไตรมาส 4บังเอิญทั้งนักธุรกิจ นักเศรษฐศาสตร์ ที่ไม่ได้เลือกขั้วเลือกข้างต่างก็รู้กันดีว่า ประเทศไทยนั้นมีกราฟเศรษฐกิจในลักษณะของการเป็นฤดูกาล (seasoning) มานมนานกาเลแล้วไตรมาสแรกจะไม่ดี ไตรมาส 2 จะทรุด จากนั้นไตรมาส 3จะกระเตื้องขึ้น แล้วไตรมาส 4 จะดีที่สุด เป็นวงจรที่หากใครที่ได้รู้จักเก็บสถิติทางเศรษฐกิจก็จะพอมองเห็นก็ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม และเป็นประเทศที่ขายการท่องเที่ยวและบริการ ฉะนั้น ไฮซีซั่นทั้งเรื่องของการส่งออกผลผลิตทางการเกษตรและการท่องเที่ยว ตัวเลขย่อมจะต้องมาโป่งเอาตอนไตรมาส 4 ของทุกปีนั่นแหละน่าสงสารก็แต่นักเรียนออกซ์ฟอร์ด ที่ด้วยความไม่เคยสัมผัสชีวิตการทำงานอย่างจริงๆ เลยในชีวิต โดยเฉพาะกับการทำธุรกิจดังนั้น เมื่อคนรอบข้างชงเข้ามาให้ว่า ไตรมาส 4 จะดีแน่...จะต้องดีกว่าไตรมาส 1 และไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ซึ่งก็แหงล่ะเพราะเศรษฐกิจไทยเป็นแบบนี้มาตลอดด้วยความไม่รู้ เมื่อเจอคนตัดตอนข้อมูล พล็อตกราฟให้เห็นแค่ปีนี้ว่า ไตรมาส 4 ดีแน่ๆ นายอภิสิทธิ์ก็เลยตื่นเต้นแถมสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ในยุคที่มี นายสันติวิลาสศักดานนท์ นั่งแป้นเป็นประธานอยู่ ก็เชียร์รัฐบาลนี้จนออกนอกหน้าอย่างชัดเจน จึงให้ข้อมูลเชิงบวกเต็มที่ว่า ทุกอย่างกระเตื้องแล้ว ฟื้นแล้ว ดีแล้วจนหลายครั้งบรรดาสมาชิกในสภาอุตสาหกรรมเองก็ยังงุนงงกับข้อมูล เพราะอดสงสัยไม่ได้ว่า นายสันติไม่รู้จริงๆ หรือว่าเวลานี้สมาชิกเดือดร้อนกันแค่ไหนหรือว่าสหพัฒน์ที่นายสันติทำงานอยู่นั้น ไม่ได้บอกหรือให้ตัวเลขว่ายอดขายสินค้าในปีนี้เป็นอย่างไร???

เมื่อได้ข้อมูลเชิงบวก บวก บวก และบวกเช่นนี้ นายอภิสิทธิ์ซึ่งไม่มีพื้นฐานก็เลยเชื่อมั่นเต็มที่ และพยายามย้ำพูดตลอดในรายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์ ว่า เศรษฐกิจจะดีขึ้นแล้วทุกอย่างจะกระเตื้องแล้ว ไตรมาส 4 ปีนี้เศรษฐกิจไทยจะดีแน่ๆเมื่อวันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคมที่ผ่านมา ก็ยังพูดอยู่เลยแย่ตรงที่ความจริงในโลกนี้ ไม่เคยที่จะรักษาหน้าให้กับคนที่พูดเก่งเพราะในวันเดียวกันนั้นเอง ผู้หญิงที่น่าสงสารในจังหวัดนครศรีธรรมราช ที่ต้องตกงานจากพิษเศรษฐกิจ แล้วพยายามสู้ชีวิตด้วยการมาเป็นแม่ค้าขายนมขวดเครียดจัดเพราะขาดทุน คนไทยประหยัดจนกำลังซื้อหดหายทำให้ยิ่งขายยิ่งขาดทุนเป็นหนี้เป็นสิน…ก็เลยตัดสินใจผูกคอตายเป็นข่าวที่เกิดขึ้นในวันเดียวกับที่นายอภิสิทธิ์ออกอากาศว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นแล้วนั่นแหละและแม้แต่กระทั่งเรื่องของการจัดการปัญหาไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ซึ่งหลายฝ่ายพยายามเตือนแล้วเตือนอีกว่าเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก รุนแรงมากแต่นายอภิสิทธิ์ก็ไม่ได้ตื่นตัว ปล่อยให้ นายวิทยาแก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ทำงานแบบเรื่อยเรื่อยมาเรียงเรียง จนวันนี้ คนไทยเสียชีวิตเพราะไข้หวัดใหญ่ 2009 ไปมากกว่า 65 รายแล้ว!!!แม้แต่หมอก็ยังติดเชื้อ ทำให้โรคประจำตัวกำเริบจนเสียชีวิตไปแล้วก็มีหลายพื้นที่หลายจังหวัดร้องขอให้ประกาศเป็นเขตพิบัติภัยจะได้ทำการควบคุมอย่างมีประสิทธิภาพน.พ.เรวัติ วิศรุตเวช อธิบดีกรมการแพทย์ ยังต้องยอมรับเลยว่า จากการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009ขยายวงกว้างระบาดไปทั่วประเทศแล้วในขณะนี้คาดว่าประเทศไทยจะมีผู้ติดเชื้อโรคนี้จริงๆ มากกว่า500,000-600,000 คนนี่คือภาพสะท้อนความจริง แต่ทำไมรัฐบาลจึงมองว่าไม่มีปัญหา ไม่น่าเป็นห่วง...ซึ่งเป็นการตั้งตนบนความประมาท

ที่กำลังเอาชีวิตและความปลอดภัยของประชาชนมาเสี่ยงอย่างน่าตำหนิที่สุดจึงไม่น่าประหลาดใจที่ในการโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะมีการหยิบเรื่อง ไข้หวัด 2009มาคุยกับคนฟังทั้งหลายโดยตั้งข้อสังเกตว่า เชื้อไข้หวัด 2009 เกิดขึ้นที่ประเทศเม็กซิโก แต่ดันมาเติบโตที่ประเทศไทยได้อย่างไรทั้งที่อยู่คนละขั้วโลก เวลาเชื้อเดินทางผ่านประเทศไหนทุกประเทศจะจัดการหมด แต่บ้านเรากลับอุ้มไว้ถ้ามันเติบโตอย่างหนัก คิดว่าองค์การอนามัยโลก (WHO)ต้องย้ายมาอยู่ประเทศไทยได้แล้ว เพราะประเทศไทยทำอะไรไม่เป็น“วันนี้รัฐบาลบอกให้ประชาชนไปตรวจหาเชื้อเองเสียเงินเองเป็นเชื้อโรคระบาดที่จริงต้องเป็นภาระของรัฐบาลจ่ายค่าตรวจเชื้อให้เอาเข้าระบบ 30 บาทได้เลย ถ้าใครเป็นไข้ให้ไปตรวจเชื้อหมดถ้าตรวจเจอแล้วกักไว้ ถ้าไม่ตรวจกักไม่ได้ แต่วันนี้ใครไม่มีเงิน5,000 บาทก็ไม่ได้ตรวจ ต้องไปซื้อยากินเองเวลาเป็นไข้”พ.ต.ท.ทักษิณ พูดเรื่องที่เป็นสถานการณ์สอดคล้องกับความรู้สึกประชาชนฉะนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่จะมีกระแสเรื่องการจะมีโอกาสกลับมาประเทศไทยในช่วง 6 เดือนนี้ ถึงขนาดเวทีที่ต.ท่าสาย อ.เมือง จ.เชียงราย ขึ้นป้ายเวทีขนาดใหญ่ว่า“ทักษิณจะกลับมาพบกับท่านในเร็วๆ นี้”ที่น่าคิดคือคำพูดโฟนอินจากดูไบ ซึ่งเข้ามาพูดคุยกับประชาชนที่ไปร่วมงาน และสื่อต่างๆ พากันลงข่าว ก็คือ“ตอนนี้พวกเขาผวาไปหมด พยายามยัดเยียดข้อหาต่างๆบ้านเมืองเลยยุ่งๆ เพราะเขาเป็นโรคขี้กลัว กลัวแพ้ กลัวจะกลับไปล้างแค้น แต่ขอบอกไม่ทำอย่างนั้นเด็ดขาด อโหสิให้ทุกคน และได้นั่งสมาธิยุติกรรมหมดแล้ว กรรมใดใครก่อก็รับกันไปเอง”แต่รัฐบาลยังเงอะๆ งะๆ โทษนั่นโทษนี่ไปเรื่อยว่า

ทำไมสื่อให้ความสนใจหรือให้ความสำคัญกับการโฟนอินและเป็นข่าวลงทุกฉบับไม่ได้สำเหนียกเลยว่าการที่พื้นที่ข่าวของ พ.ต.ท.ทักษิณมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ผลงานต่างๆ ของรัฐบาลถูกตั้งคำถามมากขึ้นเรื่อยๆ และไม่มีความเชื่อถือเชื่อมั่นมากขึ้นทุกที แทนที่นายอภิสิทธิ์และรัฐบาลจะไตร่ตรอง วิเคราะห์หาเหตุผลกลับโทษแต่เพียงว่า เป็นเพราะ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ยอมหยุด!!ลืมที่จะเหลียวมองว่า บรรดาองครักษ์พิทักษ์รัฐบาลบรรดากลุ่มก๊วนการเมืองที่อยู่ร่วมรัฐบาลนั้น หยุดที่จะแกว่งปากหาเรื่อง หรือหยุดการกระทำที่มุ่งรักษาแต่ผลประโยชน์เฉพาะตนเฉพาะกลุ่มกันบ้างหรือไม่??อย่างกรณีกระทรวงมหาดไทยสั่งผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศตั้งโต๊ะล่ารายชื่อคัดค้านการถวายฎีกาเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษ พ.ต.ท.ทักษิณ นั้น นายบุญจงวงศ์ไตรรัตน์ และกลุ่มเพื่อนเนวิน ทำเพื่ออะไร???การสั่งให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เกณฑ์ประชาชนมาหมู่บ้านละ30-50 คน เพื่อลงชื่อนั้น คิดบ้างหรือไม่ว่าจะยิ่งทำให้เกิดความแตกแยกหนักในสังคมพ.ต.ท.ทักษิณ จะกลับมาใน 6 เดือนได้หรือไม่? จริงๆ แล้วก็อยู่ที่การกระทำของรัฐบาล และบรรดากลุ่มก๊วนการเมืองเองนั่นแหละว่า จะทำให้ประชาชนเบื่อหน่ายและสถานการณ์สุกงอมเพียงใดดังนั้น หากนายอภิสิทธิ์จับสัญญาณจากคำพูดของพล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ไปวิเคราะห์ให้ดี ที่บอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้ต้องการกลับมาบริหารประเทศ ไม่ได้ต้องการเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมืองอีกแต่ต้องการที่จะช่วยเหลือประเทศไทยให้พ้นจากวิกฤติแค่นั้นจริงๆแม้นายอภิสิทธิ์จะถูกมองมาตลอดว่า ทำงานไม่เป็นหรือเป็นแค่เด็กๆ ทำงานก็ตามแต่หากว่าครั้งนี้ครั้งเดียว ถ้าทำเป็น ทำได้ สร้างสมานฉันท์ที่แท้จริงโดยหยุดความหวาดระแวงระหว่างกันได้ผลงานนายอภิสิทธิ์จะท่วมท้นอย่างแน่นอน!! ■