ที่มา มติชน
สัมภาษณ์พิเศษ โดย หทัยกาญจน์ ตรีสุวรรณ และ พนัสชัย คงศิริขันต์
เมื่อบทสรุปคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) จากกรณีใช้จ่ายเงินกองทุนพัฒนาการเมืองจำนวน 29 ล้านบาท ผิดวัตถุประสงค์ ออกมาแบบเหนือคาด
เมื่อศาลรัฐธรรมนูญสั่งยกคำร้องคดีดัง ด้วยเหตุผลคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) บกพร่องโดยธุรการ
"ขั้วตรงข้าม" จึงออกมาขย่ม-ขย้ำทั้ง "โจทก์-จำเลย-กรรมการ" เพื่อตอกย้ำ-ต่อยอดข้อครหา "2 มาตรฐาน" ที่เกิดขึ้นในสังคมไทยตลอดเวลา 4 ปีที่ผ่านมา พร้อมควานหาตัวคน "รับผิด" จากคำตัดสินที่ "ไม่ชอบ" ใจใครหลายคน
ในวันที่กระแสกดดันถั่งโถมไปที่ กกต. (อีกครั้ง) "สดศรี สัตยกรรม" กรรมการ กกต. เปิดปากเล่าถึงฉากชีวิตที่ไม่น่าพิสมัย ก่อนบันทึกเรื่องราวทั้งหมดไว้ใน "ละครสั้นส่วนตัว" ที่เธอทั้งเขียนบทและแสดงเอง
@รู้สึกกดดันหรือไม่ หลังศาลรัฐธรรมนูญสั่งยกคำร้องคดียุบ ปชป.
ไม่ กดดัน แต่วันรุ่งขึ้นมีเสียงวิจารณ์ว่าการที่ศาลยกฟ้องเป็นความผิดของ กกต.ฝ่ายเดียว กกต.ถ่วงเรื่องไว้จนกระทั่งพ้นอายุความ ถ้าดูคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในคดีนี้จะพบว่าไม่เป็นเอกฉันท์ โดย 4 เสียงให้ยกคำร้อง อีก 2 เสียงให้ยุบ ปชป. อีกทั้งในเสียงข้างมากยังถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรก 3 เสียงให้ยกคำร้องด้วยเหตุผลว่านายทะเบียนยังไม่ได้ให้ความเห็นในการยุบพรรค ผู้ถูกร้อง ส่วนอีก 1 เสียงให้ยกคำร้องเพราะระยะเวลาในการยื่นคำร้องต่อศาลเกินกว่า 15 วัน นับแต่ความปรากฏต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง ตามมาตรา 93 แห่งพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2551 ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ของ กกต. เพราะเคยมีข้อต่อสู้ในเรื่องนี้ และเคยมีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญมาแล้ว
เมื่อกลับมาดูกรณียุบ ปชป. จะเห็นว่าศาลพูดถึงวันที่ 17 ธันวาคม 2552 กับวันที่ 12 เมษายน 2553 แต่ในวันที่ 17 ธันวาคม 2552 นายทะเบียนไม่ได้ทำความเห็นมา กกต.จึงมีมติ 3 ต่อ 2 ให้นายทะเบียนให้ความเห็นก่อน ซึ่งกฎหมายไม่ได้กำหนดว่าต้องทำความเห็นภายในเมื่อไร หลังจากนั้นท่านก็ใช้อำนาจแต่งตั้งคณะทำงาน 11 คน เพื่อสอบสวนเพิ่มเติม โดยมี ม.ล.ประทีป จรูญโรจน์ ที่ปรึกษาประธาน กกต. เป็นประธาน ผ่านไป 3 เดือน คณะทำงานกลับมารายงาน กกต. ในวันที่ 12 เมษายน 2553 เสียงข้างมากของคณะทำงาน 9 เสียง เห็นควรให้ยุบ ปชป. ส่วนอีก 3 เสียง บอกฟังไม่ได้ ในวันนั้นท่านประธานแทงเรื่องขึ้นมาว่าเนื่องจากเป็นปัญหาสำคัญเห็นสมควรให้ กกต.ทั้งชุดได้พิจารณา นี่คือความเห็นของท่าน จึงถือว่าเข้าข่ายการพิจารณาของนายทะเบียนแล้ว สุดท้ายเมื่อมีการลงมติในเรื่อง 29 ล้านบาท กกต.มีมติเอกฉันท์ 5 ต่อ 0 ให้ยุบ ปชป. จึงถือได้ว่าวันที่ 12 เมษายน 2553 คือวันที่นายทะเบียนให้ความเห็น จากนั้นก็ได้ยื่นคำร้องในเวลา 14 วัน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา โดยที่เราไม่คิดว่าจะมีการตีความในเรื่องนี้
@แปลกใจหรือไม่ที่ศาลยกคำร้องโดยยกเงื่อนเวลา 15 วันเป็นเหตุผลหนึ่ง ทั้งที่ ปชป.ไม่ได้ยกขึ้นมาต่อสู้ด้วยซ้ำ
(พยัก หน้า) ค่ะ ไม่มีข้อต่อสู้ในเรื่องนี้ ด้วยความเคารพต่อศาล ถ้าวินิจฉัยเสียแต่ต้น ก็ไม่ต้องเหนื่อยกัน ไม่ต้องมานั่งนำสืบพยาน ก็จบเลยในวันนั้น เมื่อทั้งตัวผู้ถูกร้องและและผู้ร้องเอง ไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องระยะเวลาเหล่านี้ และเชื่อด้วยความสุจริตว่า นายทะเบียนพิจารณาแล้วเห็นชอบด้วย และยื่นภายใน 15 วัน อย่างไรก็ตาม เมื่อศาลพิจารณาว่าระยะเวลามันเกิน แม้เป็นเพียง 1 เสียง เราก็ต้องเคารพ แต่การบอกว่าเมื่อศาลพิพากษาเช่นว่านี้ เป็นความผิดของ กกต.ที่ละเลย ก็ต้องพูดว่าเราไม่ได้ละเลย แต่การตีความอาจแตกต่างกัน
@ถือเป็นความบกพร่องโดยธุรการของ กกต.ได้หรือเปล่า
(ตอบ ทันควัน) เรื่องง่ายๆ อย่างนี้ กกต.ไม่ได้บกพร่อง เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่เลย เคยสู้กันมาแล้ว ศาลเองก็เคยวินิจฉัยในประเด็นนี้มาแล้ว
@ขณะนี้มีเสียงเรียกร้องให้ กกต.แสดงความรับผิดชอบ คิดว่าจำเป็นต้องแสดงอะไรหรือไม่
ก็ ต้องย้อนถามว่าความรับผิดชอบคืออะไร ความรับผิดชอบในที่นี้หมายถึงคุณทำอะไรผิดไว้ใช่ไหม ถ้าเขากล่าวหาว่าเราขโมยของแล้วเราทำจริง สมควรไหมที่จะแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกแล้วไปต่อสู้คดี แต่กรณีนี้ กกต.ผิดหรือเปล่า เรามีข้อโต้แย้งได้ว่า 1.เรื่องระยะเวลา 15 วัน ก็มีคำวินิจฉัยของศาลที่วางหลักไว้แล้ว 2.เรื่องนายทะเบียนยังไม่ได้ให้ความเห็น ในความคิดของ กกต. ถือว่าท่านอภิชาตให้ความเห็นแล้ว อย่างนี้ใครผิดใครถูก การที่ศาลมีอยู่ 3 ศาล หากศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง แต่ศาลฎีกาบอกว่ายกไม่ได้ ไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของทั้ง 2 ศาล สั่งลงโทษจำเลย ถามว่าศาลชั้นต้นกับศาลอุทธรณ์ต้องรับผิดชอบต่อคำวินิจฉัยที่โดนกลับโดยศาล ฎีกาไหม ท่านต้องลาออกไหม ก็ไม่มี เพราะถือว่าท่านพิพากษาโดยชอบ โดยดุลพินิจของท่านเอง
ถ้าเทียบอย่างนั้น กกต.ก็เหมือนกัน เรามีหน้าที่กึ่งตุลาการ ในเมื่อ กกต.พิจารณาตามกฎหมาย ใช้ดุลพินิจโดยสุจริต โดยชอบ ก็ได้ยื่นฟ้องไป พอศาลกลับคำวินิจฉัย กกต.ต้องลาออกไหม ความจริงมันมีคดีตั้งเยอะแยะที่ กกต.ยื่นไปแล้วโดนกลับ อย่างใบเหลืองใบแดงเนี่ย 70 เปอร์เซ็นต์ที่ กกต.โดนกลับ เนื่องจากพยานหนี ไม่มาให้การต่อศาล เมื่อไม่มีพยาน ศาลก็ต้องยก ถ้าอย่างนี้จะมี กกต.เข้ามาไม่รู้เท่าไร พอศาลกลับเรื่องหนึ่งให้ กกต.ลาออกหมด กลับอีกเรื่อง อ้าว! ลาออก พอชุดใหม่เข้ามา อ้าว! กลับอีก ถามว่านี่มันคืออะไร (เสียงสูง) บ้านเมืองนี้คืออะไรกัน ถ้าศาลมีอำนาจเหนือ กกต. ที่จะบังคับ ท่านสามารถเปลี่ยนตัว กกต.ได้ตลอดหากกลับคำวินิจฉัย อย่างนี้ต้องใช้ กกต.ไม่รู้กี่สิบชุด อาจเป็นร้อยๆ ชุดในปีเดียว ดังนั้น เมื่อเราได้ใช้ดุลพินิจโดยชอบแล้ว คงไม่มีเหตุที่เราต้องแสดงสปิริตหรืออะไร เว้นแต่วันข้างหน้าจะเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญเลยว่าถ้าศาลกลับคำวินิจฉัยของ กกต. ให้ กกต.ลาออก ก็จบกัน มีแค่นั้น และจะไม่มีใครมาเป็น กกต.
@หาก ดูข้อกฎหมายและธรรมเนียมปฏิบัติ กกต.อาจไม่จำเป็นต้องลาออก แต่ถ้าวัดกระแสสังคมคิดว่า กกต.จะอยู่ได้หรือไม่ หากไม่แสดงสปิริตใดๆ เลย
ใคร ก็ตามที่เข้าไปแตะการเมืองต้องโดน กกต.นี่แตะการเมืองเต็มตัวเลย เพราะมีทั้งผู้ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ และรุนแรงยิ่งกว่าคดีธรรมดา คดีการเมืองน่ากลัวกว่าคดีฆ่ากันตาย คดีลักทรัพย์ คดีอะไรต่ออะไร (หัวเราะเบาๆ) เพราะถือว่าแพ้ไม่ได้ จุดนี้เป็นจุดสำคัญ เมื่อ กกต.เข้าไปแตะการเมืองก็เปื้อนหมด ฝ่ายเสียประโยชน์ก็ต้องฟ้อง ต้องวิจารณ์ ต้องกดดันให้ออก ถ้าได้ประโยชน์ก็บอกโอ้ย...ดีมาก ยุติธรรมมาก ศาลยุติธรรมก็เหมือนกัน แต่คู่ความไม่สามารถแตะศาลได้ เนื่องจากมีภูมิคุ้มกันว่าทำในพระปรมาภิไธย แต่ กกต.ไม่มี เราทำในฐานะองค์กรอิสระอันหนึ่ง เป็นเหมือนบุคคลสาธารณะ วิจารณ์ได้ ด่าได้ ขึ้นอยู่กับเราว่าจะทนไหวไหม (พูดช้าลงเพื่อเน้นเสียงให้ชัดเจนขึ้น) กับความกดดันอันนี้
เอ่อ...เชื่อได้ว่า กกต.ไม่ได้มีความสุขอะไรกับการทำงานลักษณะนี้ ไม่ว่าจะเป็น กกต.ชุดไหน ถ้าการเมืองแตกแยก มีลักษณะฉันแพ้ไม่ได้ ต้องชนะ คนที่เข้าไปเป็นกรรมการตัดสินอยู่ลำบากมาก เมื่ออยู่ลำบาก ทนไหวไหม นี่เป็นจุดที่คนที่คิดจะมาเป็น กกต.ชุดใหม่ในอีก 2 ปีข้างหน้าต้องคิด ทนได้ไหม กล้ำกลืนน้ำตา กลืนเลือดอยู่ในใจ (เอานิ้วชี้ที่หน้าอก) นี่คือเรื่องเศร้ามาก เหมือนกับว่า...(น้ำเสียงสั่นเครือ) เราอยู่ในผู้พิพากษามาก่อน พอมาเป็น กกต. ก็รู้สึกว่าสภาพเรามันต่ำมาก ต่ำๆๆ จนกระทั่งมันศูนย์น่ะ (น้ำตาเริ่มคลอเบ้า) จากการเป็นผู้พิพากษา ไม่มีใครเขาด่าเราได้ กับการมาเป็นบุคคลสาธารณะเนี่ย โอ้โห! เทียบกันไม่ได้ ขาข้างหนึ่งอยู่ในตะรางเพราะเขาจะฟ้อง ถ้าเขาไม่พอใจ เขาก็ด่าทอ เอาโรงศพมาวาง เอาชื่อใส่ลงไป มันอะไรของมัน กกต.เป็นอาชญากรเลวร้ายขนาดนั้นเลยหรือ ทั้งๆ ที่เราทำหน้าที่โดยชอบเรา แต่นี่กลายเป็นว่า ถ้าศาลยก กกต.ตาย ต่อไปถ้าจะเอาอย่างนี้ก็เขียนไปเลย ถ้าศาลยก ให้ กกต.ลาออก ถ้าทำอย่างนี้ได้ก็ยุบองค์กรนี้ไปเลย สมควรไหมที่การเลือกตั้ง การพิจารณาอะไรต่างๆ จะกลับไปอยู่กระทรวงมหาดไทย แต่ถ้ากระทรวงมหาดไทยตัดสินอะไรแล้วศาลยกฟ้อง ต้องเขียนด้วยว่าให้ รมว.มหาดไทยลาออก เพราะแตะการเมือง ก็ต้องเสียหาย
วันนี้ถ้าบอกว่า หันซ้ายก็ผิด หันขวาก็ผิด อาชีพนี้คงเป็นอาชีพที่น่ารังเกียจที่สุด และไม่ควรมีใครมาอยู่ตรงนี้เลย พอผลออกมาอย่างนี้ อีกฝ่ายก็บอกว่า กกต.เข้าข้าง ปชป. มันจะเป็นไปได้อย่างไร ถ้าเข้าข้างฝ่ายผู้ถูกร้องง่ายนิดเดียว ยกคำร้องตั้งแต่ต้น อีกหน่อยถ้าคดีมาอย่างนี้ เป็นคดีของพรรคการเมืองที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย กกต.ไม่ต้องยกให้หมดหรือเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง เพราะถ้ายื่นฟ้องไปแล้วศาลยก ก็ถูกไล่อยู่ดี
@ฝ่ายตรงข้ามวิเคราะห์ว่าที่คำวินิจฉัยออกมาเช่นนี้ เพราะ กกต. ศาลรัฐธรรมนูญ และ ปชป. มาจากท่ออำนาจเดียวกัน
ก็นี่ไง ก็ถามว่าจำเป็นด้วยหรือ ถ้าจะช่วย ทำไมต้องเอาเรื่องขึ้นศาลล่ะ ไม่จำเป็นต้องปัดให้ศาลหรอก จบที่ กกต.ก็พอแล้ว
@มีการกล่าวหาแรงว่าเป็นการแสดงละครร่วมกัน
ไม่ จำเป็นต้องแสดงละคร เอาง่ายๆ ยกตั้งแต่ชั้น กกต.เลย ถามว่าคุณทำอะไรเราได้ แต่การที่เรายื่นฟ้องแล้วบอกว่ารวมหัวกันเล่นละครเพื่อให้ศาลยก คิดได้ยังไง มันไม่มีเหตุผลที่เราจะเหนื่อยใจเหนื่อยกายแล้วโดนหาว่าร่วมมือกับฝ่ายผู้ ถูกร้อง โดยที่ฝ่ายผู้ถูกร้องก็ก่นด่า กกต.อยู่ตลอดเวลา แม้แต่คำแถลงปิดคดีก็เห็นได้ชัดว่าท่านชมเชย กกต.ไหม ตอนนั่งฟังอยู่ยังบอกนักข่าวบางคนเลยว่า ถ้าพี่เป็นคนเดียว พี่กระโดดน้ำตายไปแล้ว ด่ากันขนาดนี้ มันไม่มีเหตุผลที่ต้องด่าเราขนาดนี้ แต่ทีนี้ถ้ากระโดดน้ำตายต้องกระโดด 5 คน เพราะท่านด่าหมด ถ้าเราเข้าข้าง ปชป. ท่านจะมาด่าเราทำไม คงชื่นชมไปแล้วว่า กกต.ซื้อไม่ได้
@คำ ไหนของนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษา ปชป. ในฐานะหัวหน้าทีมต่อสู้คดียุบพรรค ที่แถลงปิดคดี ฟังแล้วรับไม่ได้ ถึงขั้นอยากไปกระโดดน้ำตาย
(นึกพักหนึ่งก่อนตอบ) คำว่าวงจรอุบาทว์ แล้วก็...ไม่เฉพาะคุณชวนล่ะนะ นักกฎหมายของพรรคคนอื่นก็ด่า ล่าสุดมีรัฐมนตรีท่านหนึ่งออกรายการทีวี พอพิธีกรถามว่าจะทิ้งท้ายอะไรไหม ท่านพูดว่าขอเตือน กกต.แล้วกัน ขอเตือนหน่อย (เน้นเสียงเข้ม) ไม่ใช่กลับไปกลับมาแบบนี้ อีกหน่อยองค์กรจะเสื่อมมาก ความเห็นกลับไปกลับมา แต่ท่านไม่ได้พูดว่านายทะเบียนนะ ท่านพูดรวมๆ ไอ้เราก็นั่งคิดว่าเราไปกลับอะไรนะ เพราะเป็นคนที่คิดอย่างไรก็ตรงไปเรื่อย ไม่มีทางกลับ เว้นแต่ได้หลักฐานเพิ่มเติม แต่นี่เหมาหมด ก็เข้าใจนะว่า ปชป.พรรคเก่าแก่ แต่พรรคอื่นๆ ที่ถูกยุบก็เก่าแก่ อย่างพรรคชาติไทย พอถูกยุบก็บอกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม คือ...กกต.เหมือนเป็นศัตรูกับนักการเมืองตลอด พรรคไหนได้เป็นรัฐบาลก็เตรียมเลย ปลดไอ้พวกนี้ออกให้หมด
@เป็นภารกิจแรกของทุกรัฐบาล
(หัวเราะ) ก็รู้สึกว่าเอ๊ะ! อะไรกัน ทำไมเราต้องเป็นศัตรูกับพรรคการเมือง ทำไมเราต้องโดนชะตากรรมที่โหดร้ายอย่างนี้ ถ้าหมดวาระหรือโดนปลดออก ก็ตั้งใจจะเขียนละครขึ้นมาเรื่องหนึ่ง โดยพูดถึงประสบการณ์ที่ผ่านมา เพราะคนไม่เคยเป็น กกต. คงไม่รู้ว่าชีวิตมันตกต่ำมาก
@จะใช้ชื่อเรื่องว่าอะไร
เอ่อ...ชีวิตบัดซบของ กกต. ดีไหม (ระเบิดหัวเราะ) แต่เดี๋ยวขอดูข้อสรุปก่อนนะว่าเราจะมีชะตากรรมสุดท้ายอย่างไร
@ถึงวันนี้ท่านและกรรมการ กกต.คนอื่นๆ เคยนึกโทษนายอภิชาตหรือไม่ว่าหากแสดงจุดยืนชัดเจนตั้งแต่ต้น คงไม่เกิดปัญหาขึ้น
(ตอบ ทันควัน) ใช่ค่ะ มีความคิดอย่างนั้น ถ้าท่านทำเสียแต่วันแรก จะเอาอย่างไรก็เอากัน ถ้าท่านบอกไม่ฟ้อง เราจะได้จบ ไม่ต้องลงมติ แต่ท่านบอกว่าฟ้อง นี่จะเป็นภาระหนักว่าจะลงมติอะไร แต่ทุกท่านก็มีความคิดในใจว่าจะลงมติอะไร ถ้านายทะเบียนทำให้เรียบร้อยตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2552 ทุกอย่างก็คงไม่มีปัญหา อำนาจของนายทะเบียนเนี่ยมีมาก สมัย กกต.ชุดที่ 2 (พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ เป็นประธาน) ท่านไม่ให้คนอื่นมายุ่งเลย ท่านยื่นฟ้องของท่านเอง จริงๆ การเป็นประธานหรือนายทะเบียนดีไหม แน่นอน คนรู้จักเยอะ และก็มีอำนาจมาก แต่การมีอำนาจมันมีทั้งดีและเสีย อำนาจมาพร้อมกับความรับผิด เหมือนเศรษฐีมีเงินมากก็อาจต้องใช้จ่ายมากกว่าคนอยู่สลัม เมื่ออำนาจมีมากก็ต้องเสียค่าโสหุ้ยมากหน่อย แต่จะไปโทษท่านคนเดียวคงไม่ได้ เพราะเรามาด้วยกัน เวลาเขาพูดก็พูดรวมๆ หลายครั้งเคยบอกว่าเราเหมือนฝาแฝดที่ผูกติดกัน 5 คน ไปไหนไปด้วยกัน เคยมี กกต.บางท่านบอกว่าผมไม่ตายเดี่ยวหรอก ผมจะตายหมู่ ดังนั้น คำว่าตายเดี่ยวและตายหมู่ก็ชัดเจนว่าถ้ารอดก็รอดด้วยกัน ถ้าตายก็ตายด้วยกัน
@เป็นไปได้หรือไม่ที่รายการนี้จะมีคนยอมตายเดี่ยว รักษาชีวิตอีก 4 คนไว้เพื่อรักษาองค์กร
(เงียบ พักหนึ่ง) คือ...มันขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของแต่ละบุคคลนะ แต่ละบุคคลรู้ศักยภาพของตัวเองดี สมมุติเขาจะสร้างละครเรื่องหนึ่ง ถ้ามาให้ดิฉันเป็นนางเอกเนี่ย ดิฉันสมควรเป็นไหม แก่ขนาดนี้ ก็ต้องเป็นแม่ จะขอเป็นนางเอกมันเป็นไปไม่ได้ ก็ต้องรู้ว่าเรามีความสามารถแค่ไหน อย่างไร มีศักยภาพที่จะเป็นนางเอกไหม หรือเป็นแค่แม่ เป็นแค่คนใช้ แต่ละคนต้องรู้ตัวเอง หน้าตาน่าเกลียด แต่มาขอเป็นคนงามมันไม่ได้ เรารู้ว่าเราควรทำอะไร ควรเป็นอะไร ไม่ต้องให้คนอื่นมาบอกว่า เฮ้ย! ลงจากเวทีประกวดได้แล้ว ยังไงคุณก็แพ้ หน้าตาดูไม่ได้เลย
@เท่าที่ฟังเสียงคนดูและนักวิจารณ์ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ถึงเวลาต้องเปลี่ยนตัวพระเอกหรือยัง
เอ่อ...เรื่องพระเอกจะเปลี่ยนตัวหรือไม่ ขึ้นอยู่กับคนที่เป็นพระเอก คงไม่มีใครเข้าไปบอกว่าคุณแก่แล้วนะ อย่าเป็นเลย
@หากยังดึงดันอยู่ต่อ พระเอกมีสิทธิกลายเป็นผู้ร้ายหรือไม่
ถ้า อยู่ต่อเป็นผู้ร้ายหรือไม่ แล้วแต่พฤติการณ์ แล้วแต่สิ่งแวดล้อมข้างหน้า วันนี้เป็นอย่างนี้ ข้างหน้ามันอาจจะแรงกว่านี้ก็ได้ ไม่มีใครเดาได้ เราไม่รู้ วันนี้เรามีชีวิตอยู่ พรุ่งนี้เราอาจจะตายก็ได้ ไม่รู้นะ บางครั้งเราก็คิดว่าการอยู่ในสถานภาพบางอย่าง ก็ต้องตระหนักเหมือนกันว่าจะเป็นผลดีต่อองค์กรหรือไม่
@มีข่าวว่านายอภิชาตรู้สึกกดดันมาก ถึงขั้นชวน กกต.ให้ลาออกยกคณะ
วัน นั้น เอ่อ...ท่านอ่านข่าวที่นักการเมืองคนหนึ่งพูดว่า กกต.ต้องรับผิดชอบ ต้องออกเสียให้หมด ท่านก็พูดว่า อ้าว! งั้นพวกเราลาออกเลยดีไหม ท่านอาจจะพูดเล่นนะ แต่ทุกคนไม่ได้สนใจอะไร เพราะมองว่าเราผิดอะไร เราถ่วงคดีตรงไหน เราทำอะไร
@หากเปรียบเทียบระหว่างแรงกดดันภายในกับแรงกดดันภายนอก อย่างไหนจะเป็นเหตุให้นายอภิชาตต้องตัดสินใจมากกว่ากัน
แรงกดดันภายใน เราเป็นผู้ใหญ่กันทั้งนั้น ไม่มีใครไปกดดันท่าน
@ทั้งทางตรงและทางอ้อม
(พยัก หน้า) ไม่ค่ะ ไม่มีใคร เราถือว่าเราให้เกียรติซึ่งกันและกัน ไม่มีใครกดดันท่าน ส่วนแรงกดดันภายนอกยังประเมินไม่ได้ว่าเขาเข้าใจแค่ไหน เพียงไร ถ้าอธิบายให้ฟังเท่าไรก็ไม่เข้าใจเหตุผล ก็ทำอะไรไม่ได้
@ถึงนาทีนี้ กกต.ทุกคนยังยืนยันกอดคอกันอยู่ต่อไป
ค่ะ คือ...คงจะต้องอยู่ต่อไป เว้นแต่จะมีคำพิพากษาให้จำคุก จบ ไม่มีอะไรมาก (หัวเราะ)
@หากกลุ่มไม่พอใจคำตัดสินคดียุบ ปชป. จะหาแพะบูชายัญสักตัว กกต.หรือศาลรัฐธรรมนูญมีโอกาสถูกสังเวยมากกว่า
กก ต.ไม่มีภูมิคุ้มกัน ไม่เหมือนศาล เราเป็นองค์กรอิสระเล็กๆ องค์กรหนึ่ง ซึ่งบังอาจไปแตะการเมืองเข้า ก็แล้วแต่อนาคตข้างหน้าว่าจะเป็นอย่างไร
@หลายฝ่ายมองว่าภูมิคุ้มกันขององค์กรอิสระคือความศรัทธาจากประชาชน คิดว่าประชาชนยังศรัทธาใน กกต.แค่ไหน
ถ้า ประชาชนแบ่งเป็น 2 ฝ่าย ความศรัทธาก็ขึ้นอยู่กับว่าสมประโยชน์ฝ่ายไหน เราคิดว่าทำดีที่สุดแล้ว อนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ ถ้าเรากลัวต้องติดคุกติดตะรางก็อย่ามาอยู่ที่นี่ ถ้ามีเวรกรรมต้องผจญต่อไป ก็ถือเป็นกรรมเก่าของพวกเราเท่านั้นเอง
----------
′5 เสือ′ ซ้ำรอย ′3 หนา′ ?
ภาพคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่มี "อภิชาต สุขัคคานนท์" เป็นประธาน ถูก "ม็อบเสื้อแดง" ต่อต้าน-ตะเพิดพ้นเก้าอี้ หลังแพ้ฟาวล์คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ณ วันนี้
ทำให้หลายคนย้อนนึกถึงเหตุการณ์ในวันวานที่ กกต. ชุด "พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ" ถูก "ม็อบเสื้อเหลือง" รุกไล่ หลังมีพฤติกรรมฝักใฝ่พรรคไทยรักไทย (ทรท.)
สุดท้าย กกต. ชุด "3 หนา" ต้องจบชีวิต "เสือเลี้ยง" ของ "ผู้มีอำนาจ" ด้วยการเข้าไปนอนกรง เมื่อศาลอาญาพิพากษาเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2549 ให้จำคุก 4 ปีโดยไม่รอลงอาญา พร้อมเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 10 ปี ฐานกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ.2541 กรณีร่วมกันจัดการเลือกตั้ง ส.ส. แบบแบ่งเขตรอบใหม่ในวันที่ 23 และ 29 เมษายน 2549 โดยไม่มีอำนาจ และออกหนังสือเวียนถึงผู้อำนวยการการเลือกตั้งเขต โดยเปิดทางให้มีการ "เวียนเทียน" ผู้สมัครหน้าเดิมได้เพื่อช่วยผู้สมัคร ทรท. ให้พ้นเกณฑ์ต้องได้รับเลือกด้วยคะแนนเกินร้อยละ 20 ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตนั้นๆ หลังฝ่ายค้านบอยคอตการเลือกตั้งวันที่ 2 เมษายน 2549
คดีนี้มี "ถาวร เสนเนียม" รองเลขาธิการ ปชป. (ในขณะนั้น) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง
มาครั้งนี้ "สมยศ พฤกษาเกษมสุข" แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง ประกาศว่าจะเข้าแจ้งความต่อกองปราบปรามเพื่อเอาผิดกับ กกต. ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157 ของประมวลกฎหมายอาญา กรณีปล่อยให้คดียุบ ปชป. ขาดอายุความ
ทำให้หลายฝ่ายเก็งกันว่าชะตากรรม "5 เสือ" ชุด "อภิชาต" จะซ้ำรอย "3 เสือรุ่นพี่" หรือไม่?
ทว่า "สดศรี สัตยธรร" กกต. ในฐานะ "ว่าที่จำเลย" กลับไม่ยี่หระ โดยบอกว่าใครอยากยื่นฟ้องก็ยื่นไป ที่ผ่านมา กกต.ก็ถูกฟ้องมาหลายคดีแล้ว ทั้งการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น ระดับชาติ ฯลฯ แต่ยอมรับรู้สึกเห็นใจ กกต. ชุด พล.ต.อ.วาสนา
"ตอนนั้นท่านเหลือ เวลาอีกปีเศษจะครบวาระ ก็น่าเห็นใจท่านที่การเมืองอาจทำให้เกิดปัญหา ถูกฟ้องร้องขึ้นมา วันนี้ต้องยอมรับตรงๆ เลย แม้ดิฉันจะเคยเป็นผู้พิพากษามาก่อน แต่ตอนนี้กลัวศาลมาก แม้แต่เด็กรุ่นลูกยังต้องยกมือไหว้ท่านเลย ยังดีที่ไม่ได้ไหว้ลูกสาว" สดศรีกล่าวเสียงเย้ยตัวเอง
เมื่อขอคำอธิบายเพิ่มเติมถึงเหตุที่ทำให้กลัวศาล เธอตอบว่า "ทุกอย่างอยู่ในมือของผู้พิพากษา ก็เป็นเรื่องที่ท่านอาจจะมองว่าเราผิดก็ได้ อะไรก็ได้ เราไม่ทราบ เพราะการตีความมันทำได้หลายอย่าง"
ถึงวันนี้ยังไม่รู้ว่าจุดจบของ "5 เสือ" จะเป็นเช่นไร แต่ทุกแรงกดดันที่พุ่งเข้าใส่ กกต. อาจทำให้เสือคำรามไม่ออก!!!