WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Tuesday, December 7, 2010

ใส่ตะกร้า ล้างน้ำ!!

ที่มา บางกอกทูเดย์

111



คดีดับเพลิงอัปยศ
ชนักปักหลัง”อภิรักษ์”
12 ธันวาคมที่จะถึงนี้ จะมีการเลือกตั้งซ่อม ส.ส. แทน ส.ส.ที่ถูกวินิจฉัยให้สิ้นสุดสมาชิกภาพ จากกรณีการถือครองหุ้นที่อยู่ในสัมปทานของรัฐ ลักษณะผูกขากตัดตอน และหุ้นสื่อสารมวลชน
ซึ่งแม้ว่าความสนใจส่วนใหญ่จะพุ่งไปที่ศึกชนช้างชิง เก้าอี้ที่นายเกื้อกูล ด่านชัยวิจิตร กับนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ ถูกสอยร่วงจากการเป็น ส.ส. แล้วยังถูกนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ทวงถามจริยธรรมทางการเมือง จนต้องลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการด้วยกันทั้งคู่
ทำให้ที่อยุธยา เขตเลือกตั้งที่ 1 นายองอาจ วชิรพงศ์ ผู้สมัครหมายเลข 1 พรรคเพื่อไทย เป็นคนลงชนกับนายเกื้อกูล และมีนางกาญจน์มณี ทรัพย์พันธ์ พรรคเครือข่ายชาวนาแห่งประเทศไทย มาเพิ่มสีสัน

และที่นครราชสีมา เขตเลือกตั้งที่ 6 นายอภิชา เลิศพชรกมล ผู้สมัครหมายเลข 2 พรรคเพื่อไทย ปะทะตรงๆกับนายบุญจง พรรคภูมิใจไทย ซึ่งในอดีตนายอภิชา เคยชนะนายบุญจงมาแล้ว
ทั้ง 2 เขตจึงถูกจับตาเป็นอย่างมาก เพราะทั้งนายเกื้อกูลและนายบุญจง หลังพิงฝาตกอยู่ในสถานะที่แพ้ไม่ได้ ชนิดต้องทำทุกวิถีทางไม่ให้แพ้ เพราะหากแพ้นอกจากพรรคจะเสียเก้าอี้ ส.ส.ให้กับพรรคฝ่ายค้านแล้ว
ยังจะชวดเก้าอี้รัฐมนตรี อดรีเทิร์นกลับมาแน่
แต่ ไม่ใช่ว่าจะแค่เฉพาะอยุธยากับโคราชเท่านั้นที่จะดุเดือด พื้นที่เลือกตั้งในกรุงเทพฯ เขตเลือกตั้งที่ 2 ก็ดุเดือดเช่นกัน โดยนายพงษ์พิสุทธิ์ จินตโสภณ ผู้สมัครหมายเลข 1 พรรคเพื่อไทย จะต้องลงพิสูจน์ฝีมือกับนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่า กทม. จากพรรคประชาธิปัตย์

แน่นอนว่าด้วยดีกรีอดีตผู้ว่า กทม. แถมยังเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี แต้มต่อในการได้เปรียบจึงมีสูงมาก เพียงแต่สิ่งที่ทำให้สนามเลือกตั้งเขต 2 กทม. มีความคึกคัก และท้าทายความรู้สึกนึกคิดของคนกรุงเทพก็เพราะ การตัดสินใจส่งนายอภิรักษ์ลงเลือกตั้งในครั้งนี้ ของนายอภิสิทธิ์ และนายอภิรักษ์ในครั้งนี้
เป็นการส่งทั้งๆที่นายอภิรักษณ์ยังมีคดีรถดับ เพลิงฉาว เป็นชนักปักคาหลังอยู่ในปัจจุบัน ประเด็นนี้สิน่าคิดว่า นายอภิสิทธิ์และประชาธิปัตย์เดินแต้มนี้เพื่อหวังอะไร

เพราะต้องไม่ลืมว่าคดีนี้ยังอยู่ในระหว่างกระบวนการดำเนินการ คดียังไม่จบ
ที่ สำคัญการทุจริตจัดซื้อรถยนตร์และเรือดับเพลิงของ กทม. มีมูลค่าความเสียหาย มากกว่า 6,800 ล้านบาท เป็นการสูญงบประมาณไปเปล่าๆ โดย กทม.ไม่ได้รับประโยชน์ตอบแทนคืนมาแม้แต่น้อย
ทุกวันนี้รถดับเพลิงก็จอด ทิ้งอยู่ที่ท่าเรือ เป็นเวลาหลายปีๆจนสนิมกินแดงไปหมด เป็นการทำลายงบประมาณของ กทม.และของชาติลงไป อย่างน่าเสียดายยิ่ง

และ เรื่องนี้แหละที่เป็นสาเหตุสำคัญ ที่ทำให้นายอภิรักษ์ ต้องลาออกจากตำแหน่งผู้ว่า กทม.สมัยที่ 2 ทั้งๆที่เพิ่งได้รับเลือกกลับเข้าไปหมาดๆ เพราะถูกชี้มูลความผิดในคดีอาญา จะขัดขืนอยู่ในตำแหน่งต่อ ก็ไม่อาจต้านแรงกดดัน ที่กระหน่ำมาจากรอบทิศไม่ไหว
จำใจต้องลาออกไป เพื่อเข้าสู่กระบวนการสอบสวน และเตรียมการไปต่อสู้คดีกันในชั้นศาลต่อไป

เพราะ กรณีนี้ต้องถือว่าไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เพราะคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติ 9 ต่อ 0 ชี้มูลความผิดนายอภิรักษ์ ในคดีทุจริตโครงการจัดซื้อรถ-เรือดับเพลิง และอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัยของกรุงเทพมหานคร มูลค่า 6,800 ล้านบาท

เป็นมติ 9 ต่อ 0 โดยที่ไม่มีกรรมการคนใดเห็นเป็นอย่างอื่นเลย โดยใช้เวลาในการพิจารณาชี้มูลเกือบ 10 ชั่วโมง
ซึ่ง ในวันนั้น ทั้งนายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธาน ป.ป.ช. นายกล้านรงค์ จันทิก โฆษก ป.ป.ช. และนายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. ร่วมกันแถลงการชี้มูลการทุจริตโครงการจัดซื้อรถ-เรือดับเพลิงของ กทม. ด้วยตัวเอง

โดยนายกล้านรงค์ระบุว่า นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯ กทม. หลังจากเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 6 ก.ย.2547 ได้ทราบข้อมูลว่า มีการทุจริตโครงการดังกล่าว และมีการร้องเรียนเรื่องมาที่สำนักงาน ป.ป.ช. รวมทั้งมีการหารือในพรรคประชาธิปัตย์

ที่สำคัญยังพบว่าเอโอยูไม่ได้ ส่งให้อัยการสูงสุดตรวจสอบ ซึ่งเป็นการปฏิบัติไม่ถูกต้อง แต่นายอภิรักษ์กลับไม่ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยเร็ว เพื่อยกเลิกหรือระงับการดำเนินการตามสัญญา
นายอภิรักษ์เพียงแค่แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาตรวจสอบรายละเอียดการจัดซื้อเท่านั้น

อีก ทั้งการที่นายอภิรักษ์ขอให้กระทรวงมหาดไทย พิจารณาทบทวนการจัดซื้อตามโครงการนี้ตลอดมา ย่อมแสดงให้เห็นว่า นายอภิรักษ์ทราบข้อเท็จจริงว่า มีข้อบกพร่อง ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่กลับอ้างว่า ไม่มีอำนาจในการดำเนินการ และเป็นอำนาจของนายโภคิน พลกุล อดีต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
รวมถึงมีการอ้างว่า ถูกเร่งรัดให้เปิดแอลซีแก่บริษัท สไตเออร์ ซึ่งคำกล่าวอ้างทั้งหมดไม่สามารถฟังได้ เนื่องจากข้อเท็จจริงแล้ว อำนาจการบริหารงบประมาณทั้งหมด อยู่ที่ ผู้ว่าฯ กทม. ไม่ใช่ของกระทรวงมหาดไทย

และการที่นายอภิรักษ์เปิดแอลซี เป็นเหตุให้ข้อตกลงซื้อขายที่นายสมัคร ลงนามไว้ มีผลผูกพันและบังคับใช้ระหว่างคู่สัญญาต่อไป
ที่ ประชุม ป.ป.ช.จึงมีมติเอกฉันท์ ว่าการกระทำของนายอภิรักษ์มีมูลความผิดฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติ หน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ กทม. และฐานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157

และส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
และ หลังจากที่ ป.ป.ช. ชี้มูลแล้ว ปรากฏว่านายอภิสิทธิ์ เองนั้นแหละที่เป็นผู้ไปหารือกับนายอภิรักษ์ ที่คอนโดมิเนียมของนายอภิรักษ์ ในซอยสุขุมวิท 24 เพื่อล็อบบี้นายอภิรักษ์ให้ลาออกจากตำแหน่ง

เพื่อแสดงความรับผิดชอบ หลัง ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด ในคดีทุจริตจัดซื้อรถและเรือดับเพลิงของ กทม.
ซึ่ง นายอภิสิทธิ์คงน่าจะยังจำได้ดีว่าการหารือเป็นไปอย่างเคร่งเครียด เพราะแม้นายอภิสิทธิ์จะพยายามพูดจาหว่านล้อมให้นายอภิรักษ์ลาออกจากตำแหน่ง เพื่อแสดงสปิริต แต่กลับถูกนายอภิรักษ์ปฏิเสธ โดยอ้างว่าไม่ได้ทำอะไรผิดอย่างที่ ป.ป.ช.ตัดสิน จึงไม่ยอมลาออก

แถมอ้างกับนายอภิสิทธิด้วยว่า ได้ปรึกษากับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรค และนายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคในขณะนั้นแล้ว
เล่นเอานายอภิสิทธิ์ถึงกับบ่นว่าเหนื่อย ถ้านายอภิรักษ์จะทำอย่างนั้น
แต่ สุดท้ายด้วยแรงบีบจากสังคม และการทวงถามจริยธรรมทางการเมือง เนื่องจาก เมื่อป.ป.ช.มีมติชี้มูลว่ามีความผิดจริง นายอภิรักษ์จะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว จนกว่าศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะมีคำพิพากษาออกมา

ซึ่ง แน่นอนว่าหากยังเกาะเก้าอี้ต่อไป ไม่ยอมลาออก ก็จะกระทบต่อการบริหารงานของ กทม. เพราะนายอภิรักษ์จะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ว่าคดีนี้เมื่อเข้าสู่ชั้นศาลจะใช้เวลาเท่าไหร่

เจอประเด็นนี้เข้าสุดท้ายนายอภิรักษ์จึงยอมลาออกจากตำแหน่ง
ทำ ให้ต้องมีการเลือกตั้ง ผู้ว่า กทม. ใหม่อีกครั้งหนึ่ง ชนิดติดๆกัน เพราะนายอภิรักษ์ต้องลาออก หลังจากที่ กกต.เพิ่งจะประกาศรับรองผลการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ไปได้ไม่นาน

ซึ่ง เป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณของชาติโดยใช่เหตุ หากวันนั้นนายอภิสิทธิ์ ไม่ดื้อรั้นส่งนายอภิรักษ์ ลงชิงตำแหน่งผู้ว่า กทม. สมัยที่ 2 ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่า นายอภิรักษ์มีคดีรถดับเพลิงฉาวคาราคาซังอยู่

ดัง นั้นในรอบนี้การที่ นายอภิสิทธิ์ ตัดสินใจส่งนายอภิรักษ์ลงเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 2 อีกครั้ง ทั้งๆที่เรื่องคดีต่างๆยังไม่จบนั้น จึงทำให้เกิดคำถามตามมาอีกเช่นกัน และแน่นอนว่าเสียงสำท้อนจากสังคมนั้นมีแต่ลบอย่างเดียว

คอลัมน์สำนักข่าวหัวเขียว ของไทยรัฐ เมื่อจันทร์ ที่ 22 พ.ย.2553 “แม่ลูกจันทร์” เขียนเอาไว้ ว่า
...แม่ลูกจันทร์ไม่รู้ว่า นายกฯอภิสิทธิ์ คิดอย่างไรถึงได้จับอภิรักษ์ใส่ตะกร้าล้างน้ำกลับมาลง ส.ส.กทม.เขต 2...
...ตัวเลือกอื่นๆมีให้เลือกเยอะแยะ แต่พระคุณท่านไม่เอา กลับเอาสินค้ามีตำหนิ มาขายคนกรุงเทพอีกแล้วโยม...

ดังนั้นนี่คือปรากฏการณ์ที่ท้าทายคนกรุงเทพฯเขตเลือกตั้งที่ 2 เป็นอย่างมาก
เพราะ ลำพังมีคดีปักหลังอย่างเดียวก็แย่มากๆแล้ว แต่นี่ยังพัวพันความเสียหายของประเทศชาติอีกมากมาย เพราะ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่า กทม. คนปัจจุบัน ยอมรับเองว่าคดีรถ เรือดับเพลิงฉาว ได้เข้าสู่กระบวนการอนุญาโตตุลาการอย่างเป็นทางการแล้วเมื่อวันที่ 26 ต.ค.2553 ที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

ซึ่งงานนี้ทางกทม.ได้ว่าจ้างทนายความชาวสวิตเซอร์แลนด์ และที่ปรึกษาทางด้านกฎหมายระดับโลกให้ต่อสู้คดีรถดับเพลิงในชั้นอนุญาโตตุลาการ
แต่ ก็ยอมรับว่าทีมของคู่กรณี คือ บริษัท สไตเออร์ เดมเลอร์ พุค สเปเชียล ฟาห์รซอยก์ จำกัด ประเทศออสเตรีย ซึ่งใช้ทีมทนายความของบริษัท เจเนอรัล ไดนามิกส์ (สหรัฐอเมริกา) บริษัทแม่ของบริษัท สไตเออร์ฯ ซึ่งเป็นทีมทนายจากชิคาโก สหรัฐอเมริกา ก็มีประสบการณ์ในคดีระดับโลกไม่แพ้กับฝ่ายไทยใช้เลย

แน่นอนว่าการใช้ ทนายความระดับโลก ค่าใช้จ่ายก็ย่อมเป็นมาตรฐานทนายระดับโลกด้วยเช่นกัน ถามว่ากี่สิบกี่ร้อยล้านบาทที่เป็นเงินงบประมาณของประเทศชาติ ซึ่งก็เป็นภาษีจากประชาชนนั่นเอง ที่ต้องสูญเสียไป
ดังนั้นเมื่อคดียัง ไม่สิ้นสุด แล้วนายอภิสิทธิ์ กลับดันทุรังส่งนายอภิรักษ์ลงมาเลือกตั้งซ่อม ซ้ำรอยเดียวกันเป๊ะกับการเลือกตั้งผู้ว่า กทม.สมัยที่ 2 ซึ่งสุดท้ายก็ต้องเสียเงินงบประมาณเสียเวลามาเลือกตั้งซ่อมกันใหม่

นายอภิสิทธิ์ ไม่เคยจำบทเรียน และไม่เคยนึกถึงความสูญเสียของประเทศชาติเลยหรือ
หรือว่าจริงๆแล้ว ดีดลูกคิดแล้วว่า จะใช้คะแนนเสียงที่นายอภิรักษ์จะได้รับนั้น มาเป็นการเรียกคะแนนเห็นใจจากระบบยุติธรรม!!!
ถามจริงๆทำแบบนี้ เป็นการ “ดูถูกคนกรุงเทพฯ หรือเปล่า!!?”
ทำไมจึงต้องเจาะจงเอาคนที่มีชนักปักหลังมาลงสมัคร ส.ส.กรุงเทพฯด้วย