ที่มา มติชน "มาร์ค"โต้มีตัวช่วยคดียุบปชป. สอนผิดแล้วแก้ไขเป็นสิ่งสมควร รับไม่ฟ้องไซฟ่อนเงินกระทบคดี
นาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ออกมาตอบโต้ฝ่ายที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์มีตัวช่วยพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ค่อนข้างมาก กรณีศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยยกคำร้องกรณีนายทะเบียนพรรคการเมืองกล่าวหา พรรคประชาธิปัตย์ใช้จ่ายเงินกองทุนพัฒนาพรรคการเมือง จำนวน 29 ล้านบาท ผิดวัตถุประสงค์ โดยให้สัมภาษณ์เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 4 ธันวาคม ที่สถานีวิทยุโทรทัศน์กระจายเสียงแห่งประเทศไทย ช่อง 11 ว่าบางคนที่บอกว่าศาลตั้งธง แต่ตนอยากถามกลับเหมือนกันว่า แล้วคนเหล่านั้นไม่ได้ตั้งธงตั้งแต่แรกหรือว่าพรรคประชาธิปัตย์ต้องผิด
"ทั้งๆ ที่เราเห็นเหตุการณ์มาตั้งแต่ต้น แล้วในที่สุดบอกว่าเป็นเรื่องของเทคนิค หากเหตุการณ์หรือคดีนี้เป็นปกติมาตั้งแต่ต้นมันก็จบไปนานแล้ว เพราะคณะอนุกรรมการ กกต. (คณะกรรมการการเลือกตั้ง) สอบ 2-3 ครั้งแล้ว ก็บอกว่าไม่ผิด แต่ที่ลากยาวมาจนถึงทุกวันนี้ก็เป็นเพราะความไม่ปกติ ในที่สุดความไม่ปกตินั้นก็ไม่ขัดกับกระบวนการทางกฎหมาย" นายกฯกล่าว
ไม่ไปศาล9ธ.ค.ส่งทีมกม.ชวน
นาย อภิสิทธิ์กล่าวว่า ในวันที่ 9 ธันวาคม ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญนัดพร้อมคู่ความในคดีเงินบริจาค 258 ล้านบาท นั้น ส่วนตัวจะไม่ไปศาล เนื่องจากเป็นการนัดพร้อมและที่ผ่านมาคณะผู้ว่าคดีจะไปเอง ขณะนี้นายชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะหัวหน้าทีมต่อสู้คดียุบพรรค และนายบัณฑิต ศิริพันธุ์ ทนายความ จะเป็นหลักในการทำงานเรื่องนี้
ผู้ สื่อข่าวถามว่า มีอัยการจะไปยื่นให้ศาลคัดค้านกรณีที่ ปชป.ไปยื่นให้ศาลพิจารณาข้อกฎหมายเช่นเดียวกับคดีเงินสนับสนุนพรรคการเมือง 29 ล้านบาท นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า การต่อสู้ในข้อกฎหมายก็จะเป็นอย่างนี้ เช่น ครั้งที่ผ่านมา พรรคได้ยื่นขอให้วินิจฉัยข้อกฎหมายไป แต่ฝ่ายผู้ร้องก็ยื่นคัดค้าน เป็นดุลพินิจของศาลรัฐธรรมนูญว่าจะหยิบยกขึ้นมาพิจารณาก่อนหรือจะพิจารณาไป พร้อมกับประเด็นอื่นที่เป็นข้อเท็จจริง เมื่อถามว่า ปชป.เป็นห่วงหรือไม่ เพราะยังมีความพยายามกดดันศาลอยู่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า คดีนี้มีแรงกดดันมาโดยตลอดอยู่แล้ว สิ่งที่ตนย้ำคือทุกอย่างควรจะเป็นไปตามข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย
พท.ห่วงรีบปิด258ล.รุนแรงขึ้น
ด้าน นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญจะนัดพิจารณาคดีที่อัยการสูงสุดยื่นร้องให้ศาล รัฐธรรมนูญพิจารณายุบ ปชป.จากกรณีเงินบริจาค 258 ล้านบาท ในวันที่ 9 ธันวาคมนี้ ว่าทีมกฎหมาย พท.มีความเป็นห่วงเหมือนกับประชาชนทั่วไปที่ยังสับสนอยู่ว่าแนวทางพิจารณา คดียุบ ปชป.กรณีใช้เงินกองทุนพัฒนาพรรคการเมือง 29 ล้านบาท ที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยกคำร้องจริงๆ แล้วเป็นอย่างไร ระหว่างขาดอายุความหรือเพราะนายทะเบียบพรรคการเมืองไม่ได้ทำความเห็นเสนอมา กันแน่
"ดังนั้น การเร่งรีบพิจารณาคดียุบพรรค 258 ล้านบาท โดยที่ ปชป.เองก็เร่งรีบยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งจำหน่ายคดี น่าจะมีนัยยะทางการเมืองอะไรบางอย่าง เพราะเร่งรีบเกินไป ทั้งที่คดี 29 ล้านบาทยังไม่มีความชัดเจน หากดำเนินการอย่างนี้ต่อไป แล้ว ปชป.ชนะฟาวล์อีกจะยิ่งทำให้ประชาชนสับสนและไม่เข้าใจ รวมถึงเข้าใจว่าเรื่องของสองมาตรฐานลุกลามบานปลายไป อันจะทำให้เกิดวิกฤตของกระบวนการยุติธรรม และจะทำให้ความขัดแย้งรุนแรงมากขึ้น จึงขอเรียกร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญทำความจริงเกี่ยวกับคดี 29 ล้านบาท ให้ปรากฏก่อนที่จะพิจารณาอะไรต่อไป เพื่อลดเงื่อนไขความขัดแย้งในสังคมด้วย "
วอนกูรูตั้งศาลจำลองชี้คดี29ล.
ขณะ ที่ นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองโฆษก พท. กล่าวว่า แม้การตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญคดีเงินกองทุน 29 ล้านบาท ผ่านมา 5 วันแล้ว แต่กระแสวิจารณ์ดังหนาหูขึ้นทุกวัน ทางพรรคจึงอยากขอความเห็นใจและเรียกร้องไปยังสถาบันการศึกษาวิชากฎหมาย นักกฎหมายหรือกูรูด้านกฎหมาย ช่วยทำผลลัพธ์ให้ปรากฏเป็นวิทยาทานให้กับประชาชน ว่า 1+1 ควรจะเท่ากับ 2 หรือไม่ โดยการตั้งศาลจำลองขึ้นมาพิจารณาผลลัพธ์ของคดีนี้ในเชิงกฎหมาย ว่าหากไม่มีการยกคำร้อง ผลการตัดสินของคดีนี้จะเป็นอย่างไร ปชป.ใช้เงินภาษีประชาชนเกือบ 30 ล้านบาท อย่างซื่อสัตย์สุจริตหรือไม่ หากไม่ บทลงโทษควรออกมาเป็นอย่างไร
"สมชัย" แจงคดี29ล.อย่าดูถูกกกต.
วัน เดียวกัน นายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ด้านกิจการสืบสวนและวินิจฉัย ออกแถลงการณ์กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยยกคำร้องคดียุบ ปชป.ใช้จ่ายเงินกองทุน 29 ล้านบาท ว่าในส่วนของ กกต.ก็ต้องให้ความเคารพและยอมรับ อย่างไรก็ตาม แม้จะมีคำวินิจฉัยออกมาแล้วก็ใช่ว่าความคิดอ่านของคนที่เกี่ยวข้องจะแตกต่าง กันไม่ได้ และไม่ใช่ว่าตุลาการหรือผู้พิพากษาจะกระทำผิดไม่ได้ ทุกคนไม่อยากทำผิด ล้วนอยากทำถูกกฎหมายด้วยกันทั้งสิ้น รวมถึง กกต. นายทะเบียนพรรคการเมือง และเจ้าหน้าที่ กกต.ทุกคน ไม่อยากถูกใครดูถูกเหยียดหยาม
ชี้ปมเห็นชอบนายทะเบียนยื่น
"โดย เฉพาะในแง่ของการปฏิบัติงานของ กกต.เอง ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ากระบวนการยื่นคำร้องยุบ ปชป.กรณี 29 ล้านบาท ไม่ถูกต้องนั้น อยากชี้แจงว่า รูปแบบการปฏิบัติงานภายในของ กกต.ที่ผ่านมาไม่มีรูปแบบที่ชัดเจนเป็นทางการ แต่ถือจุดที่ว่าเมื่อนายทะเบียนพรรคการเมือง โดยความเห็นชอบของที่ประชุม กกต. เพื่อยื่นคำร้องยุบพรรคต่อศาลรัฐธรรมนูญนั้น ไม่ว่าจะปรากฏเหตุให้ยุบพรรคการเมืองต่อนายทะเบียนจะเกิดขึ้นก่อนหรือหลัง การนำเสนอเรื่องต่อที่ประชุม กกต. ไม่ใช่ประเด็นหลัก แต่ประเด็นคือนายทะเบียนพรรคได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยผ่านความเห็น ชอบของ กกต.นั้น ถือเป็นประเด็นสำคัญที่สุด" นายสมชัยกล่าว
นาย สมชัยกล่าวว่า การที่มีความเห็นที่แตกต่างจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญนั้น ไม่ใช่ว่ามีเจตนาจะลบหลู่หรือเจตนาทำลายสถาบันใด แต่อยากให้มีความเคารพต่อศักดิ์ศรีความเป็นประชาชนของคนอื่นบ้าง โดยเฉพาะกรณีที่คำวินิจฉัยมีผลกระทบต่อภาพพจน์ของ กกต.โดยตรง หาก กกต.ไม่ออกมาชี้แจงอะไรแสดงเหตุผลอะไรเลยอาจจะทำให้คนที่ไม่รู้ ไม่เข้าใจ มีอคติหรือดูแคลนต่อ กกต.ได้เข้าใจกระจ่างชัดขึ้น การทำผิดแล้วแก้ไขนั้นเป็นสิ่งที่สมควรต้องกระทำ ซึ่งในส่วนของ กกต. เมื่อแนวทางการปฏิบัติงานที่ทำมาถูกวินิจฉัยว่ามีปัญหาก็พร้อมที่จะปรับปรุง แล้ว
นายสมชัยยังกล่าวถึงการนัดพร้อมคดี 258 ล้านบาท วันที่ 9 ธันวาคมนี้ ที่อาจจะมีการยกคำร้องโดยอ้างเหตุกระบวนการยื่นของ กกต.ไม่ชอบด้วยกฎหมายว่าหากศาลรัฐธรรมนูญจะยกคำร้องนั้นโดยส่วนตัวไม่ได้ว่า อะไร แต่หากจะมาบอกว่ากระบวนการของ กกต.ทำผิด ซึ่งทำให้ประชาชนดูแคลน กกต.นั้น รับไม่ได้ เพราะยังยืนยันว่า กกต.ดำเนินการตามกระบวนการทุกอย่างถูกต้องแล้ว ขอความเป็นธรรมแก่ กกต.ด้วย
เมื่อ ถามว่าห่วงหรือไม่ว่าจะมีการนำประเด็น คดีไซฟ่อนเงินของทีพีไอซึ่งอัยการสั่งไม่ฟ้องมาแล้ว โยงกับการพิจารณาคดียุบ ปชป.258 ล้านครั้งนี้ด้วย นายสมชัยกล่าวว่า คิดว่าเรื่องนี้มีผลกระทบด้วยเช่นกัน แต่ขึ้นอยู่กับทุกฝ่ายนำเสนอข้อมูลชี้ให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเห็นพ้องด้วย หรือไม่อย่างไร ซึ่งความผิดในคดีไซฟ่อนเงิน ซึ่งเกี่ยวข้องกับกฎหมายตลาดหลักทรัพย์นั้น เชื่อว่ามีองค์ประกอบความผิดทางกฎหมายที่แตกต่างกันกับกฎหมายพรรคการเมือง เป็นจุดที่ต้องพิจารณา
ส่วน ที่เมื่อต้นตอเหตุแห่งการเสนอยุบพรรคมา จากคดีไซฟ่อนเงินซึ่งอัยการได้ยกฟ้องไปแล้ว จะไม่เท่ากับว่าต้นรากไม่ผิดแล้ว ตอนปลายในคดียุบพรรคก็จะไม่ผิดด้วย นายสมชัยกล่าวว่า หากเปรียบเทียบกับรากของต้นไม้ก็จะมองได้ว่า การตัดรากต้นไม้ไปรากหนึ่งก็ใช่ว่าจะทำให้ต้นไม้นั้นล้ม เพราะยังมีรากอื่นๆ อยู่ คดีนี้ก็เช่นกัน เมื่อองค์ประกอบความผิดแตกต่างกันก็ต้องรอฟังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญว่า จะเป็นอย่างไร คงไม่สามารถก้าวล่วงได้