ที่มา บางกอกทูเดย์
2 มาตรฐาน
ผีหลอกวิญญาณหลอน
จริงๆ แล้ว ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล เป็นขั้วอำนาจพิเศษ กลุ่มนายทหารใหญ่ และแม้แต่สารพัดกลไกในระบบยุติธรรมในยุคนี้ ล้วนรู้ดีอยู่แล้วว่า
สังคมไทยมีการประณามในเรื่อง 2 มาตรฐานดุเดือดรุนแรงเพียงใด
แต่หลายๆ เรื่องที่เกิดขึ้น ก็ยังคงล่อแหลมกับการถูกวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่อง 2 มาตรฐานอยู่ไม่หยุดหย่อน ทำให้ไม่แน่ใจว่า จริงๆ แล้วเกิดอะไรขึ้นกับระบบยุติธรรมของไทยในปัจจุบันกันแน่
จึงได้มีการปล่อยให้ถูกใช้เป็นเครื่องมือกันในทางการเมืองขนาดนี้
จนทำให้บรรดาอาจารย์มหาวิทยาลัยทางด้านนิติศาสตร์ที่มีวิญญาณของการต่อสู้เกิดอาการทนไม่ได้ และมีการรวมตัวกันขึ้นมาเป็นกลุ่มนิติราษฎร์ ก็เพราะไม่ต้องการเห็นตุลาการภิวัฒน์ ไม่ต้องการเห็น 2 มาตรฐาน มาทำให้บ้านเมืองมีปัญหาไม่รู้จบ
หลังจากกรณีไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ในช่วงเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา ซึ่งสะเทือนในเรื่อง 2 มาตรฐานของระบบยุติธรรม โดยเฉพาะกรณีศาลรัฐธรรมนูญถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อน
นึกว่าจะมีการเพลาๆ เรื่อง 2 มาตรฐานไปสักระยะ แต่สุดท้ายก็เกิดประเด็นคาใจสังคมในเรื่องมาตรฐานขึ้นมาได้อีกรอบหนึ่ง
นั่นคือ กรณีของการจับกุมตัว นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ และนายสมบูรณ์ ทองบุราณ แกนนำม็อบคนไทยหัวใจรักชาติ และการยอมให้มีการประกันตัวไปในที่สุด
ซึ่งในสังคมได้มีการตั้งประเด็นเปรียบเทียบขึ้นมาในใจ และกลายเป็นหัวข้อแลกเปลี่ยนทิศนะกันอย่างกว้างขวางทั้งในสังคม และในโลกไซเบอร์
โดยกรณีของนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ กับ นายสมบูรณ์ ทองบุราณ ถูกจับกุมตัวตามหมายจับของศาลอาญาที่ 2219/2553 และ 2223/2553 คดีร่วมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ชุมนุมบริเวณทำเนียบรัฐบาล และสนามบินดอนเมือง สนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อปี 2551
โดนจับเมื่อวันที่ 18 มกราคม 54 ขณะนั่งรับประทานอาหารในห้างสรรพสินค้าเทสโก้โลตัส สาขาพระราม 1
พล.ต.ต.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 6 ได้นำตัวทั้ง 2 คน ส่งพนักงานสอบสวนกองปราบปราม ตามหมายจับข้อหาร่วมกันมั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป บุกรุกทำลายหรือทำให้เสียหายอย่างร้ายแรงต่อสิ่งอำนวยความสะดวกของท่าอากาศยาน
รวมทั้งมีข้อหาเรื่องการก่อการร้ายด้วย!!!
เป็นการจับกุมตัวก่อนการนัดชุมนุมใหญ่ของกลุ่มม็อบพันธมิตรและคนไทยหัวใจรักชาติ จนทำให้ตำรวจถูกมองว่ามีการรับงาน??? มาจับกุมเพื่อหวังเบรกการชุมนุมของกลุ่มม็อบ
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หลังจากถูกจับกุมในวันที่ 18 มกราคม ถูกนำตัวไปฝากขังในวันที่ 19 มกราคม ปรากฏว่าในวันที่ 27 มกราคม หรืออีกเพียงแค่ 8 วันเท่านั้น ก็ได้มีการพิจารณาในเรื่องการให้ประกันตัว
โดยมีการยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว อ้างว่า ผู้ต้องหาไม่มีเจตนาหลบหนีหมายจับของศาล โดยเฉพาะวันที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกับกุมนั้นผู้ต้องหายังได้แสดงเจตจำนงผ่านสื่อมวลชน และนัดหมายไปยัง ผบ.ตร.จะไปพบที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่ชุดจับกุมยังชิงเข้าจับกุมผู้ต้องหา
อีกทั้งผู้ต้องหาที่ 1 ก็เป็นอดีตส.ส.และ รมว.อุตสาหกรรม ส่วนผู้ต้องหาที่ 2 เป็นอดีต ส.ส. และส.ว. ซึ่งมีหน้าตาในสังคม และมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ไม่มีพฤติการณ์จะหลบหนีไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน จะเห็นได้ว่าในการยื่นคำร้องฝากขังพนักงานสอบสวน ก็ไม่คัดค้านการประกันตัวแต่อย่างใด
ที่สำคัญผู้ต้องหาที่ 1 มีอายุ 60 ปี เป็นผู้สูงอายุ มีโรคประจำตัว ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ ซึ่งต้องไปพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพและรับยาตามแพทย์นัดหมาย นอกจากนี้ ผู้ต้องหาที่ 2 อายุ 53 ปี มีบุตรเป็นผู้เยาว์ ต้องอยู่ในความดูแล จึงร้องขอให้มีการปล่อยตัวชั่วคราวด้วย
ซึ่งศาลได้พิเคราะห์คำร้องและหลักทรัพย์แล้ว อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหาทั้งสอง
โดยตีราคาประกันตัวผู้ต้องหาที่ 1 จำนวน 600,000 บาท และผู้ต้องหาที่ 2 จำนวน 200,000 บาท
ดูแล้วก็ไม่มีอะไรซับซ้อน ก็แค่การขอประกันตัวออกไปเท่านั้น
แต่ที่ก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์กันก็คือ ได้มีการเอากรณีนี้ไปเทียบเคียงกับนายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำ นปช. ซึ่งถูกจับกุมในข้อกล่าวหาว่าก่อการร้ายด้วยเหมือนกัน
แต่ในรายละเอียดของการดิ้นรนเพื่อให้ได้ประกันตัวต่างกันมากมายเหลือเกิน
เพราะนายวีระเป็นหนึ่งในผู้ถูกกล่าวหา ในเรื่องการตั้งเวทีปราศรัยปลุกระดมมวลชนบริเวณแยกราชประสงค์ ซึ่งประกอบด้วย
1.นายแพทย์เหวง โตจิราการ (มอบตัว 20 พ.ค.) 2.นางดารุณี กฤตบุญญาลัย 3.นายจรัล ดิษฐาอภิชัย 4.นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ (มอบตัว 19 พ.ค.) 5.นายนิสิต สินธุไพร (มอบตัว 19 พ.ค.)
6.นายวีระ มุกสิกพงศ์ (มอบตัว 20 พ.ค.) 7.นายก่อแก้ว พิกุลทอง (มอบตัว 20 พ.ค.) 8.นายขวัญชัย ไพรพนา(มอบตัว 19 พ.ค.) 9.นายชินวัฒน์ หาบุญพาด 10.นายวิภูแถลง พัฒนภูไท (มอบตัว 19 พ.ค.) 11.นายอดิศร เพียงเกษ 12.นายวรพล พรหมิกบุตร 13.พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ 14.นายสำเริง ประจำเรือ 15.นายวิสา คัญทัพ 16.นางไพจิตร อักษาณรงค์ 17.พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล (เสียชีวิต 17 พ.ค.)
ในการดำเนินการและผลการปฏิบัติหมายจับและควบคุมตัวตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินอยู่ ในความรับผิดชอบของคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนตามคำสั่ง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ที่ 145/2553 ซึ่ง พล.ต.ท.ไถง ปราศจากศัตรู ผบช.ก.เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน
พล.ต.ท.ไถง มีการสรุปผลการดำเนินการ ว่ามีผู้ต้องหาตามหมายจับถูกจับกุมแล้ว 22 ราย ประกอบด้วย 1.นายเหวง โตจิราการ 2.นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ 3.นายนิสิต สินธุไพร 4.นายวีระ มุสิกพงศ์ 5.นายก่อแก้ว พิกุลทอง 6.นายขวัญชัย ไพรพนา 7.นายวิภูแถลง พัฒนภูไท 8.พล.ต.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล (เสียชีวิต) 9.นางวิกานดา ปักกาสัง 10.น.ส.รัศมี มาลาม
11.น.ส.ดวงมณี บุญรัตน์ 12.นายพิเชษฐ์ สุขจินดาทอง 13.นายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก 14.นางศิริวรรณ นิมิตศิลป์ 15.นายเมธี อมรวุฒิกุล 16.นายเชน แขนสันเทียะ 17.นายชยุต ไหลเจริญ 18.นายวายุภักดิ์ โนรี 19.นายภาสกร หรือสมนึก ศิริรักษ์ 20.พ.ต.ท.ศุภชัย ผุยแก้วคำ 21.นายเรืองอำนาจ พุทธิวงศ์ และ22.นายมีชัย สินนาค
ประเด็นที่ถูกตั้งคำถามก็คือ จนวันนี้หลายคนยังคงถูกคุมขังทั้งๆที่มอบตัวมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว หรือกว่า 8 เดือนเข้าไปแล้ว
ในขณะที่นายวีระ แม้จะสามารถออกจากที่คุมขัง เพราะได้ประกันตัวออกมา แต่ก็ไม่ง่ายเลย กว่าจะสามารถยื่นขอประกันตัวได้ ก็ต้องยื่นขอประกันตัวอยู่หลายครั้ง
นายวีระ มอบตัวเมื่อ วันที่ 20 พฤษภาคม กว่าจะได้ประกันตัวออกมาได้ ก็เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม หรือปาเข้าไปเกือบ 2 เดือนครึ่ง ในขณะที่นายไชยวัฒน์และนายสมบูรณ์ใช้เวลาแค่ 8 วันเท่านั้น
และกรณีของนายวีระ ต้องมีทั้งนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี มาช่วยเบิกความว่า ในการรับทำหน้าที่ประสานงานเจรจากับผู้ต้องหา ไม่มีแนวทางที่ใช้ความรุนแรง
และนายวีระเห็นด้วยกับแนวทางปรองดองของรัฐบาลเพียงแต่กลุ่มผู้ชุมนุมไม่เห็นด้วย
กับทางพนักงานสอบสวนดีเอสไอก็ไม่ได้คัดค้านการประกันตัว เนื่องจากนายวีระถูกจัดอยู่ในกลุ่มแกนนำที่ไม่ใช้ความรุนแรง
ที่สำคัญนายวีระได้เข้ามอบตัวเอง ไม่ได้ถูกตำรวจจับกุมตัว
สุดท้ายจึงได้มีการให้ปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหา โดยตีราคาประกัน 6 ล้านบาท
พร้อมกำหนดเงื่อนไขสั่งห้ามผู้ต้องหา เดินทางออกนอกราชอาณาจักร รวมทั้งออกนอกพื้นที่กรุงเทพ ฯ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้น
และห้ามไม่ให้ร่วมชุมนุมกับบุคคล หรือกลุ่มบุคคล จำนวนตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป
อีกทั้งห้ามไปเผยแพร่ข่าวต่อสาธารณะ
โดยให้มีการเข้ารายงานตัวทุก 15 วัน ตามวัน- เวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด
ทั้งนายวีระ และนายไชยวัฒน์ ล้วนตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาในข้อหาก่อการร้ายด้วยกันทั้งคู่ แต่ระยะเวลาในการขอประกันตัว กับวงเงินในการประกันตัวทำไมจึงแตกต่างกันมาก ตรงนี้แหละที่ก่อให้เกิดเป็นประเด็นสงสัยกันขึ้นมาในสังคม
เพราะจะว่านายไชยวัฒน์สูงอายุแล้ว นายวีระก็สูงอายุแล้วเหมือนกัน จะว่านายไชยวัฒน์เป็นอดีตรัฐมนตรีเป็นอดีต ส.ส. นายวีระก็เป็นอดีตรัฐมนตรี เป็นอดีต ส.ส. เช่นกัน
และในเรื่องของการไม่มีเจตนาที่หลบหนี นายไชยวัฒน์นั้นยังอยู่ในขั้นของการบอกว่าจะไปมอบตัวเอง แต่ก็ต้องถือว่าถูกจับกุมโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในขณะที่นายวีระเข้าไปมอบตัวเอง
ทำไมระยะเวลาจึงแตกต่างกันมากชนิด 2 เดือนครึ่ง กับ แค่ 8 วัน
แถมวงเงินประกันตัว นายไชวัฒน์สามารถประกันตัวได้แค่ 600,000 บาทเท่านั้น ในขณะที่นายวีระ ต้องประกันตัวด้วยเงินสูงถึง 6 ล้านบาท
ยิ่งถ้ามองถึงนายสมบูรณ์ ทองบุราณ ด้วยแล้ว ประกันตัวแค่ 200,000 บาทเท่านั้นเอง
ดีเอสไอเล่นอะไรอยู่หรือ???
เป็นข้อสงสัยที่ทำให้คำว่า 2 มาตรฐานกลับมาวนเวียนหลอกหลอนในสังคมไทยอีกครั้งหนึ่ง
เพราะจนวันนี้แกนนำ นปช.คนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น นายแพทย์เหวง โตจิราการ นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ หรือนายก่อแก้ว พิกุลทอง ยังคงไม่ได้รับการยินยอมให้ประกันตัว
ยิ่งกรณีของนายก่อแก้ว ยิ่งกลายเป็นเรื่องตลกร้ายหนักขึ้นไปอีก เพราะในกรณีของนายสมบูรณ์ มีการอ้างขอความเห็นใจว่า มีบุตรเป็นผู้เยาว์ที่ต้องเลี้ยงดู ในขณะที่กรณีของนายก่อแก้วนั้น ลูกยังแบเบาะอยู่เลยด้วยซ้ำตอนที่เข้ามอบตัว
และแม้แต่กระทั่งตอนที่ไปลงสัมครรับเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 6 กรุงเทพมหานคร แต่ก็ยังไม่ได้รับการยินยอมให้ประกันตัวอยู่ดี
หากข้อกล่าวหาในการจับกุมตัวแตกต่างกัน เรื่องของเวลาและวงเงินการประกันตัวจะแตกต่างกันก็ย่อมเป็นเรื่องที่เข้าใจกันได้
แต่ในเมื่อโดนข้อกล่าวหาเรื่องการก่อการร้ายเหมือนกัน ซ้ำนายไชยวัฒน์นั้น โดนข้อกล่าวหาในเรื่องของการยึดทำเนียบ ยึดสนามบินสุวรรณภูมิด้วยซ้ำ แต่ทำไมจึงโชคดีอะไรจะปานนี้
ซึ่งแน่นอนว่า ในแง่ของโชคชะตา อาจจะปลงได้ว่านายวีระ ไม่ได้มีโชคชะตาที่ดีเท่ากับนายไชยวัฒน์ก็ได้
เพราะหลังจากถูกประกันตัวออกมาแค่เพียงวันเดียว นายไชยวัฒน์ซึ่งได้รับการให้ประกันตัวมา โดยไม่มีเงื่อนไขรุงรัง ก็สามารถที่จะกลับเข้าไปร่วมชุมนุมทางการเมืองกับม็อบพันธมิตรและคนไทยหัวใจรักชาติได้เลยทันที
แถมยังกล้าให้สัมภาษณ์ในวันที่ 28 มกราคม โดยระบุว่า มีตำรวจบอกสาเหตุที่ถูกจับกุม เพราะมีคนในรัฐบาลสั่งให้อุ้ม???
อาจจะเป็นโชคดีของนายไชยวัฒน์ หรืออาจจะเป็นเพราะเป็น “ม็อบมีเส้น”อย่างที่พูดๆกันก็เป็นได้ ถึงได้เหนือชั้นกว่านายวีระมากมาย
แต่ที่โชคไม่ดีแน่ๆ เห็นจะเป็นประเทศไทย เพราะข้อครหา 2 มาตรฐานไม่สามารถจางหายหรือลดน้อยลงไปได้เลยจริงๆ