WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Thursday, April 3, 2008

จดหมายเปิดผนึกจาก ดร.วรพล พรหมิกบุตร กรณีสื่อเทียม (จบ)

ข.กรณีรายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ออกอากาศทางเอเอสทีวี

ผู้ดำเนินรายการชายและหญิงสนทนาในรายการอย่างเออออสอดรับราบรื่นกันดี ฝ่ายหนึ่งเปิดประเด็น อีกฝ่ายหนึ่งเสริมประเด็นให้ผู้ชมเห็นจนได้ว่า นายวรพล มี “ที่มาที่ไปแบบนี้นี่เอง แล้วจะให้เข้าใจว่ายังไง” (ข้อสังเกตของคุณจินดารัตน์) หลังจากนั้นผู้ดำเนินรายการอีกท่านหนึ่งก็กล่าวเสริมสอดรับอีกหลายประโยคถัดมาว่า “ถ้าไม่มีใครมาล้วงประวัติเนี่ย ก็นึกว่าเป็นความบริสุทธิ์จากนักวิชาการ (คำสอดรับจากคุณปานเทพ)

ข้าพเจ้าศึกษาสาระข้อความจากผู้ดำเนินรายการชายหญิง 2 ท่านนี้แล้ว ทำให้นึกคิดเทียบเคียงกับการดำเนินรายการ “เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร” และ “ไม่สัญจร” ของพิธีกรคู่ขวัญชายหญิงอีกคณะหนึ่ง ในสังกัดสถานีเอเอสทีวีและเครือหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ว่าสามารถดำเนินรายการสนทนาเออออสอดรับทำนองนี้กันได้เหมาะเจาะกัน

จนกระทั่งผู้ดำเนินรายการฝ่ายชายซึ่งเป็นแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอีกตำแหน่งหนึ่งด้วย ถูกศาลอาญาพิพากษาจำคุกโดยไม่รอการลงโทษไปแล้วเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา โดยคำพิพากษาตอนหนึ่งสื่อความหมายชัดเจนว่า ผู้ดำเนินรายการฝ่ายชายท่านนั้นกระทำการใส่ความผู้อื่นโดยเปิดประเด็นใหม่ๆ ในการใส่ร้ายอย่างต่อเนื่อง โดยไม่มุ่งจะให้มีการพิสูจน์

ข้าพเจ้าวิเคราะห์สาระข้อความที่ผู้ดำเนินรายการยามเฝ้าแผ่นดินกล่าวถึงเหตุการณ์และบุคคลต่างๆ หลายคน รวมทั้งถึงข้าพเจ้า ก็เห็นมีการเปิดประเด็นใหม่ๆ โดยการกล่าวถึงข้อเท็จจริงบางส่วนผสมปนเปกับคำกล่าวอ้างที่ไม่ตรงกับความจริง แต่สื่อความหมายไปในทางทำลายความน่าเชื่อถือของข้าพเจ้า และความเที่ยงตรงสุจริตในการทำงานทางวิชาการและงานการเมืองภาคประชาชนของข้าพเจ้า เช่น คุณจินดารัตน์กล่าวอ้างว่า “ดูไปดูมารายชื่อของนักวิชาการที่ไปร่วมยื่นหนังสือ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนไปร้องกองปราบฯ ให้แจ้งความดำเนินคดีกลับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย”

คำกล่าวอ้างของคุณจินดารัตน์เป็นเท็จ เพราะในรายการชื่อนักวิชาการที่ร่วมลงนามยื่นหนังสือมอบให้ ดร.ชูศักดิ์ ศิรินิล ที่ตึกบัญชาการทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2551 ไม่มีรายชื่อนักวิชาการคนใดปรากฏอยู่ในรายชื่อผู้แจ้งความดำเนินคดีต่อกลุ่มพันธมิตรฯ ที่กองบังคับการกองปราบปรามฯ ตามที่คุณจินดารัตน์และทีมงานนักสื่อสารมวลชนผู้จัดทำรายการยามเฝ้าแผ่นดินกล่าวอ้างเลย

แต่คำพูดของคุณจินดารัตน์เผยแพร่สู่สาธารณชนทั้งภายในและภายนอกประเทศไปเรียบร้อยแล้ว การตรวจสอบพิสูจน์ความจริงเรื่องนี้อาจกระทำได้โดยง่าย ด้วยการขอตรวจดูสำเนาหนังสือราชการ 2 ส่วนประกอบ คือ สำเนาหนังสือบักทึกที่คณะวิชาการยื่นต่อรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และสำเนาบันทึกประจำวันกองปราบปรามฯ

ซึ่งสื่อมวลชนหลายสำนักได้รับสำเนาไปบางส่วนแล้ว คุณจินดารัตน์กล่าวอ้าง “แถมยังพบว่า นายวรพล พรหมิกบุตร ที่ถูกทาบทามให้เข้ามาดูแลสถานีโทรทัศน์ MV 26 ซึ่งเป็นของพรรคการเมืองของรัฐบาล ฝั่งอำนาจเก่า” คำกล่าวอ้างข้อนี้สอดรับกับคำกล่าวอ้างเสริมของคุณปานเทพในรายการยามเฝ้าแผ่นดินครั้งเดียวกันว่า “2 ตุลาคม มีแนวคิดดำเนินรายการของ MV 26 นะครับ ที่ตอนนั้น MV 26 ค่อนข้างเข้าข้างไปทางคุณทักษิณ”

คำกล่าวอ้างของคุณจินดารัตน์สอดรับกับคำกล่าวอ้างของคุณปานเทพข้างต้น ไม่ตรงกับความจริง แต่ได้เผยแพร่สู่ผู้ชมรายการจำนวนมากเสมือนหนึ่งเป็นความจริง

ข้าพเจ้าได้รับการทาบทามจากคณะทำงานสถานีเคเบิลทีวี MV 26 ซึ่งข้าพเจ้าไม่เคยรู้จักกับบุคคลเหล่านี้เป็นส่วนตัวมาก่อน โดยคณะผู้ทาบทาม 3 คน (ชาย 1 คนและหญิง 2 คน) ทาบทามข้าพเจ้าภายหลังการอภิปรายที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ ให้ข้าพเจ้าร่วมทำงานนอกเวลาราชการ เป็นพิธีกรดำเนินรายการ “ทางออกภายในประเทศไทย” ไม่ใช่ทาบทามข้าพเจ้าไปเป็น “ผู้ดูแลโทรทัศน์ MV 26”

ในขณะที่มีการทาบทามข้าพเจ้าก็ไม่เคยรู้จักสถานีโทรทัศน์ของ “พรรคการเมืองฝั่งรัฐบาล ฝั่งอำนาจเก่า” ตามที่คุณจินดารัตน์เปิดประเด็นกล่าวอ้างในรายการยามเฝ้าแผ่นดินหรือไม่

ข้าพเจ้าดำเนินรายการ “ทางออกประเทศไทย” รวมทั้งสิ้นเป็นเวลา 1 เดือนครึ่ง ได้รับค่าตอบแทนโดยสุจริตทั้งสิ้น 45,000 บาท หักภาษี ณ ที่จ่ายตามกฎหมาย และไม่เคยเรียกรับผลประโยชน์อื่นใดจากสถานีโทรทัศน์ หรือจากพรรคการเมืองใด หรือจากบุคคลใดที่ได้รับเชิญมาร่วมรายการ ข้าพเจ้ายุติการดำเนินรายการดังกล่าว เพราะเป็นงานที่ต้องใช้เวลาถ่ายทอดสด วันจันทร์-ศุกร์ ซึ่งข้าพเจ้าเหนื่อยจากงานบริหารทางวิชาการต่อองค์กรประชาธิปไตยส่วนอื่นๆ อยู่แล้ว จึงตัดสินใจลดภาระงานและลดรายได้ของตนจากการดำเนินรายการ “ทางออกประเทศไทย” ลง เพื่อมีเวลามากขึ้นในการทำงานวิชาการบริการประชาชนโดยไม่จำเป็นต้องเรียกรับรายได้เช่นที่กระทำวันนี้

คุณจินดารัตน์ตั้งข้อสังเกตในรายการยามเฝ้าแผ่นดินโดยกล่าวพาดพิงถึง “นายวรพล” ว่า “อ๋อ ที่มาที่ไปแบบนี้นี่เอง แล้วจะให้เข้าใจว่าอย่างไร” และคุณปานเทพกล่าวเสริมเป็นการแจกแจง “รอยประวัติของคนอย่าง อ.วรพล พรหมิกบุตร” เพื่อกล่าวสรุปต่อมาว่า “ถ้าไม่มีใครมาล้วงประวัติเนี่ย ก็นึกว่าเป็นความบริสุทธิ์จากนักวิชาการ”

ข้าพเจ้าจึงขอแจกแจง “รอยประวัติของคนอย่าง อ.วรพล พรหมิกบุตร” เพิ่มเติมให้ทราบโดยบันทึกแนบท้ายให้เห็นนอกจากนายวลพลจะมี “ความสัมพันธ์กับ นปก. จริง” แล้ว นายวรพลยังมีความสัมพันธ์โยงใยกับใครในการเมืองไทยอีกบ้างตลอดชีวิตการทำงานที่เกี่ยวข้อง

เมื่อพิจารณารอยประวัตินายวรพลเพิ่มเติมจากบันทึกแนบท้ายนี้แล้ว ข้าพเจ้าขอย้อนกลับมาตอบคำถามของคุณจินดารัตน์ข้างต้นว่า “อ้อ ที่มาที่ไปเป็นแบบนี้นี่เอง แล้วจะให้เข้าใจว่าอย่างไร” โดยมีคำตอบให้คณะทำงานรายการยามเฝ้าแผ่นดินและสื่อมวลชนสำนักอื่นๆ พิจารณาเลือกใช้ดุลพินิจ 2 ประการคือ (1) ให้เข้าใจตามหลักวิชาการสังคมวิทยาสื่อสารมวลชนได้ว่า “สื่อบิดเบือน” คือ สื่อมวลชนที่เผยแพร่ความเท็จ หรือ (2) ให้เข้าใจตามที่ผู้ดำเนินรายการยามเฝ้าแผ่นดินใช้ความพยายามจะให้ผู้ชมเข้าใจได้ว่า นายวรพลเป็นคนที่ควรถูก “นึกว่าเป็นความบริสุทธิ์จากนักวิชาการ” ตามที่คุณจินดารัตน์แนะนำว่าไม่บริสุทธิ์เช่นนั้นหรือไม่

คุณปานเทพอภิปรายย้อนรอยประวัติศาสตร์การทำงานของข้าพเจ้าประมาณ 9 ประเด็น ข้าพเจ้าจะช่วยให้ข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อประโยชน์ต่อทุกฝ่ายดังนี้

วันที่ 20 มิถุนายน 2550 นายวรพล ขึ้นเวทีปราศรัย นปก. ท้องสนามหลวง และปราศรัยช่วยกันบริจาคเงินในการต่อสู้กับเผด็จการ

เรื่องนี้จริงเป็นอย่างยิ่ง และข้าพเจ้าภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้ขึ้นเวทีปราศรัย นปก. ท้องสนามหลวง เพื่อร่วมกับประชาชนในการต่อสู้กับเผด็จการ คมช. และข้าพเจ้าร่วมบริจาคเงินสมทบในวันนั้นด้วยจำนวน 3,000 บาทถ้วน เป็นเงินจากรายได้ประจำในอาชีพวิชาการ

นอกจากนั้น ข้าพเจ้าไม่เคยคิดจะอภิปรายสนับสนุนเวทีปราศรัยของ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” เลยแม้จะมีความสัมพันธ์ด้านการงานกับแกนนำพันธมิตรฯ หลายคน เพราะข้าพเจ้าเห็นว่า ชื่อจัดตั้งของคนกลุ่มนี้ไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ตั้งหน้าตั้งตาโค่นล้มรัฐบาลพรรคไทยรักไทย และรัฐบาลผสมร่วมกับพรรคพลังประชาชน

วันที่ 20 กรกฎาคม 2550 นายวรพลเรียกร้องให้ปล่อยแกนนำ นปก.
เรื่องนี้จริงเป็นอย่างยิ่ง สืบเนื่องจากตัวข้าพเจ้าเองถูกเจ้าหน้าที่ที่ใช้แก๊สน้ำตา โล่ และกระบอง ขับไล่ผลักดันด้วยการใช้อำนาจรุนแรงต่อประชาชน บนถนนหน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ในคืนวันเกิดเหตุ และข้าพเจ้ายังได้เสนอตัวเป็นพยานฝ่าย นปก. โดยให้ถ้อยคำเป็นพยานฝ่าย นปก. โดยให้ถ้อยคำเป็นพยานต่อพนักงานสอบสวนแล้ว

นายวรพลบอกว่าขณะนี้ประชาธิปไตยไทยมีความเปราะบาง อาจนำไปสู่ความรุนแรง

เรื่องนี้เป็นความเห็นจากการวิเคราะห์ข้อมูลสถานการณ์หลายส่วนประกอบกัน รวมทั้งข้อมูลความเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ

วันที่ 19 กันยายน 2550 นายวรพลและกลุ่มคนเดือนตุลาฯ ไม่เอาเผด็จการ แถลงเรียกร้องให้ลบชื่อ อ.ธีรยุทธ บุญมี ออกจากทำเนียบนักวิชาการและทำเนียบวีรชนประชาธิปไตยด้วย

เรื่องนี้เป็นความจริง

วันที่ 30 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา นายวรพลขึ้นเวทีปราศรัยร่วมกับอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ที่ลานคนเมืองกรุงเทพ

เรื่องนี้เป็นความจริงอย่างยิ่ง และเป็นความภูมิใจในประวัติการทำงานอย่างยิ่งที่นักวิชาการไร้อันดับอย่างข้าพเจ้ามีโอกาสอภิปรายแลกเปลี่ยนข้อมูลและโลกทัศน์กับนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ที่ได้รับความเชื่อถือสูงทั้งภายในและต่างประเทศ เช่น คุณปองพล อดิเรกสาร คุณอดิศร เพียงเกษ คุณจาตุรนต์ ฉายแสง และ นพ.ทศพร เสรีรักษ์ เป็นต้น

กรณีกล่าวอ้างว่านายวรพลรับการทาบทามเป็นผู้ดูแลสถานีโทรทัศน์ MV 26 ข้าพเจ้าขอให้ข้อมูลแล้วว่าเป็นการกล่าวอ้างขัดกับความจริง

วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2551 นายวรพลให้ความเห็นว่าตุลาการรัฐธรรมนูญทั้งคณะต้องลาออก

เรื่องนี้เป็นความจริงอย่างยิ่ง และในวันที่ 30 มีนาคม ศกนี้ ข้าพเจ้าจะนำเสนอบทวิเคราะห์คำวินิจฉัยตุลาการรัฐธรรมนูญ (เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2550) ฉบับสมบูรณ์ให้สื่อมวลชนและสาธารณชนรับทราบอีกครั้ง ว่าเป็นคำวินิจฉัยที่เหมาะสมถูกต้องตามหลักนิติธรรมหรือไม่เพียงใด

วันที่ 10 มีนาคม นายวรพลพร้อมด้วย รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ ดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษ นายสนธิ ลิ้มทองกุล และแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ หลังจากกลุ่มพันธมิตรฯ มีการแค่ประชุมออกแถลงการณ์

เรื่องนี้ นายวรพล อ.พิชิต และ อ.วสันต์ มีชื่อปรากฏในแถลงการณ์ตำหนิติติงกลุ่มพันธมิตรฯ และแนะนำประชาชนให้ดำเนินมาตรการทางกฎหมายเพื่อป้องกันการปะทะรุนแรงระหว่างองค์กรภาคประชาชน

รศ.ดร.พิชิต มีภาระการงานและไม่ได้เดินทางไปร่วมแจ้งความกล่าวโทษ นายสนธิ ลิ้มทองกุล และพวกที่กองปราบปรามฯ หรือที่อื่นใดมาก่อน

ส่วนแถลงการณ์ของกลุ่มพันธมิตรฯ มีข้อความที่อาจเข้าข่ายเป็นการกระทำผิดกฎหมายอาญา ประชาชนจึงร่วมกันแจ้งความให้ตำรวจพิจารณาดำเนินคดี ซึ่งพนักงานสอบสวนรับเรื่องร้องทุกข์ดังกล่าว เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายต่อไปแล้ว โดยมีการประสานงานระหว่างกองปราบปรามฯ กับสถานีตำรวจนครบาลชนะสงคราม ซึ่งเป็นท้องที่เกิดเหตุ

คุณปานเทพกล่าวถึง “อาจารย์คนนี้” (เข้าใจว่า คือนายวรพล) และ “วิธีการของคนคนนี้” โดยกล่าวว่า “แต่ว่าเอาล่ะ เมื่อเราเข้าใจว่ากลุ่มคนเหล่านี้ คือ คนกลุ่มทำนองเดียวกัน คิดคล้ายๆ กัน ทำอะไรเพื่อประโยชน์ของคนกลุ่มเดียวกันของรัฐบาลชุดนี้และพรรคพลังประชาชน”

เรื่องนี้เป็นความเข้าใจผิดอย่างยิ่งยวดของคุณปานเทพ และ “อาจารย์คนนี้” สามารถยืนยันว่า การทำงานทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ของ “อาจารย์คนนี้” และของบุคคลจำนวนมากใน “คนกลุ่มทำนองเดียวกัน” เป็นการทำงานเพื่อประโยชน์ของประชาชนส่วนรวมในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่หากพรรคพลังประชาชนและบุคคลต่างๆ ในรัฐบาลชุดนี้มีความเห็นสอดคล้องกัน ทำนองเดียวกันว่ามีการบริหารประเทศเพื่อประโยชน์ของประชาชน ก็ถือได้ว่าเป็นความสอดคล้องที่น่ายินดีสำหรับประชาชนส่วนรวมของประเทศ แม้ว่ากลุ่มพันธมิตรฯ จะดำเนินการเคลื่อนไหวขัดขวางหรือไม่ ก็เป็นไปตามสภาพการณ์สังคมไทย

คุณจินดารัตน์ตั้งชื่อเรียก “คนกลุ่มนี้” ว่า “กลุ่มอาจารย์รักทักษิณ” แล้วคุณปานเทพกล่าวเออออสอดรับกระหนุงกระหนิงว่า “เออ กลุ่มอาจารย์รักทักษิณ ชัดๆ ไปเลยครับ อย่าไปอายครับ ทำอะไรให้ชัดเจน ประชาชนเขาจะไม่สับสนครับ”

ข้าพเจ้าคิดว่าหากเรียกชื่อนักวิชาการกลุ่มนี้ว่า “กลุ่มอาจารย์นับถือนายกรัฐมนตรีทักษิณ” จะฟังได้ชัดเจนกว่าชื่อ “กลุ่มอาจารย์รักทักษิณ” และผมยินดีหากจะถูกเรียกว่าเป็น “อาจารย์นับถือนายกรัฐมนตรีทักษิณ” โดยไม่มีอะไรให้อายครับ ชัดเจน ไม่มีความสับสนต่อประชาชนเลย

ส่วนชื่อกลุ่ม “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ที่นายจ้างผู้ดำเนินรายการยามเฝ้าแผ่นดินใช้เรียกกลุ่มจัดตั้งของตนจนถึงทุกวันนี้ ควรถูกพิจารณาเปลี่ยนแปลงให้สอดคล้องตรงกับรูปธรรม การดำเนินงานของกลุ่มด้วย เพื่อไม่ให้ประชาชนสับสนกันไปยิ่งกว่าทุกวันนี้

คุณปานเทพกล่าวว่า “ถ้าไม่มีใครมาล้วงประวัติเนี่ย ก็นึกว่าเป็นความบริสุทธิ์จากนักวิชาการ”
ข้าพเจ้าจึงขอช่วยแจ้งข้อมูลเพิ่มเติมให้ครบถ้วนยิ่งขึ้นเกี่ยวกับ “เบื้องหลังความสัมพันธ์ของ รศ.ดร.วรพล พรหมิกบุตร ทางการเมือง” เพื่อสื่อมวลชนสำนักอื่นๆ ช่วยตรวจสอบทั้งนายวรพลและนายปานเทพด้วยว่า มีความบริสุทธิ์เชิงวิชาชีพเพียงใดหรือไม่

จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา
นายวรพล พรหมิกบุตร