เมื่อปี 2549 "ฉะ แฉ ฉาว นักการเมืองไทย" ของ'ทีมข่าวการเมืองมติชน' กลายเป็นหนังสือขายดีของสำนักพิมพ์มติชน 2 ปีผ่านไป "ฉะ แฉ ฉาว" กลับมาอีกครั้ง ในชื่อ "ฉะแฉ ฉาว 2 เล่ห์..ลมปากการเมืองไทย"
กลับมาครั้งนี้เป็น "บันทึกคำให้การ" ของทุกคน ซึ่งเกี่ยวข้องกับการปฏิวัติ 19 กันยายน 2549 แบบละเอียด ทุกซอก ทุกมุม ตั้งแต่ "จุดกำเนิด" ที่ส่อให้เห็นเค้าลางก่อนการปฏิวัติ นับจาก น.พ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรีในรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รัฐบาลก่อนการรัฐประหาร ซึ่งกล่าวถึงสถานการณ์ทางการเมือง ไขปริศนาข้อกล่าวหาที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกโจมตีว่า "ไม่จงรักภักดี" รวมทั้งการสื่อถึง "ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ" ว่าเป็นใคร..? "..วันนี้มันเป็นนิทานวันละเรื่อง โกหกวันละคำ พอเราอยู่เฉยๆ ก็จะมีนิทานออกมาเรื่อยๆ ล้วนแล้วแต่พยายามโยงไปสู่สถาบัน เป็นเรื่องที่ไม่ใช่ข้อจริง ไม่ใช่ความเห็น แต่เป็นข้อไม่จริงแล้ว" "ครั้งหนึ่งผมเคยเรียนผู้ใหญ่ซึ่งเป็นปัญญาชนท่านหนึ่งว่า อาจารย์ ถ้าโต้แย้งกันเรื่องความคิดไม่เป็นไรนะ แต่ถ้าโต้แย้งในเรื่องข้อเท็จจริงแล้วพิสูจน์ได้ ผู้ใหญ่จะเสียคนนะถ้าพูดผิด วันนี้ทำไมเครดิตคนกล่าวหาลดลงเรื่อยๆ เพราะคุณใช้เครดิตเก่า นำบารมีเดิมที่เคยสั่งสมมาใช้ แต่เมื่อพิสูจน์ด้วยข้อเท็จจริงทีละข้อๆ สิ่งที่พูดก็จะดาวน์(ต่ำ)ลงไป .." ขณะที่นายทหารลูก "ป๋าเปรม" อย่าง พล.อ.พงศ์เทพ เทศประทีป เลขาธิการนายกรัฐมนตรีสมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ รัฐบาลหลังรัฐประหาร ก็มีมุมมองที่แตกต่าง "..ความจริงแล้วผู้ใหญ่ก็มาพบท่าน(พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ รัฐบุรุษและประธานองคมนตรี) มาคุย บางคนก็คุยดีต่อหน้า แล้วพอลับหลังก็ไปนินทา ไปอะไรเป็นสิ่งไม่ดี เหมือนกับคำพังเพยที่ว่า หน้าไหว้หลังหลอก ซึ่งเขาไม่ทำกัน เราต้องเคารพคนทั้งต่อหน้าและลับหลัง เหมือนเช้าเราไหว้พระ ตักบาตรอยู่ดีๆ แต่ออกจากวัดไปทำอีกอย่างหนึ่ง ทำได้อย่างไร ไม่ใช่วิสัย ใจเขาทำอย่างนี้ได้อย่างไร.." กระทั่ง "มูลเหตุ" ที่ต้องทำการปฏิวัติ ที่ออกจากปากของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธาน คมช. บอกกล่าวถึงความจำเป็นในการทำปฏิวัติ พร้อมเปิดเผยถึงเรื่องที่ พ.ต.ท.ทักษิณเคยถามเขาแบบต่อหน้าบนโต๊ะอาหารว่า "กองทัพจะปฏิวัติผมจริงหรือ" แม้ดูเหมือนจะเป็นคำพูดหยอกล้อเล่นๆบนโต๊ะอาหาร แต่ พล.อ.สนธิ ก็เชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณหวาดระแวง "ผู้ใต้บังคับบัญชา" ซึ่งนั่งร่วมโต๊ะอาหารมือนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย "แต่เมื่อทุกอย่างผ่านผมเชื่อว่า ท่าน(พ.ต.ท.ทักษิณ)เป็นนักกีฬา เมื่อเกมจบ ทุกอย่างจบ" นอกจากนั้น ยังมี "บันทึกคำให้การ" ของ พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร อดีตรอง ผบ.ทบ. ที่ประกาศว่า ตัวเองไม่ใช่เผด็จการ แต่ยอมรับว่าบทบาทของ คมช.ในการจัดการกับรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ แม้ปากจะบอกว่า "คมช.สุภาพเกินไป" แต่หากอ่านเนื้อหาจบก็จะรู้ว่า พล.อ.สพรั่งคิดอย่างไรกับการปฏิวัติและ พล.อ.สนธิ รวมถึงคำให้การของ พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข ผบ.ทอ.ที่บอกถึงตัดสินใจเข้าร่วมก่อการ โดยใช้เวลาคิดแค่ 3 วัน ก่อนจะให้คำมั่นสัญญาในฐานะลูกผู้ชายชาติทหารกับพล.อ.สนธิ แม้ว่า หากปฏิวัติไม่สำเร็จจะถูกตั้งข้อหาว่าเป็นกบฏ ถูกปลดออกจากตำแหน่ง หรือเอาตัวไปยิงเป้า สะท้อนความรู้สึกเบื้องลึกที่เขาต้องตัดสินใจ "โค่นทักษิณ" ในหนังสือ ยังมีเนื้อหา ที่สะท้อนความรู้สึกในหัวใจทหารนัก"บู๊-บุ๋น" อย่าง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ที่ถูกเพื่อนร่วมรุ่นตท.10 ตราหน้าว่า "หักหลังเพื่อน" "ผมไม่คิดมาก ใครมาอยู่ในตำแหน่งนี้ก็แล้วแต่ คงไม่มีใครคิดถึงครอบครัว เพียงขอให้ทำงานให้ดี" นั่นคือความรู้สึกภายใน เช่นเดียวกับ ความรู้สึกของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ถูก พล.อ.สนธิมองว่า เป็นนายกรัฐมนตรีที่เข้ามาแล้วไม่ทำอะไรเลย และยังถูกนักวิชาการมองว่า เป็นฤาษีเลี้ยงเต่า หากแต่ พล.อ.สุรยุทธ์ก็มีมุมมองที่แตกต่าง เขาบอกถึงเหตุผลที่ต้องบริหารประเทศในรูปแบบที่ถูกทั้ง คมช.และนักวิชาการออกมาตำหนิ "...ถ้ามีโอกาสที่จะทำถนนของเราใหม่ ผมถามว่าเราจะเดินตามถนนใหม่นั้นหรือจะไปเดินในตรอกที่เราเคยเดินมาแล้ว และก็มีปัญหาอีก.." นอกจากนั้น "ผู้อ่าน" จะได้รับฟังเหตุผลของนักการเมือง ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณเคยบอกว่าเป็น "เพื่อนตาย" อย่าง ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตขุนพลคู่ใจพ.ต.ท.ทักษิณ, ดร.วิษณุ เครืองาม, สนธยา คุณปลื้ม ที่บอกถึง "เหตุผล" ที่ต้องตัดบัวแบบไม่เหลือใยกับนายที่เคยเคารพก่อนใครเพื่อน อาจเป็นแนวคิดที่แตกต่างจาก "ยงยุทธ ติยะไพรัช" ที่ประกาศหลังเดินทางกลับเมืองไทยได้ไม่น่านว่า ชีวิตนี้อุทิศให้แก่ "นายใหญ่-นายหญิง" รวมถึงเปลือยหัวใจ "จักรภพ เพ็ญแข" ที่ตอบคำถามเต็มไปด้วยเหลี่ยมคูทางการเมือง แต่ทั้งหมดถวายหัวเพื่อ "ทักษิณ" รวมทั้ง การได้สัมผัสการกลับคืนสู่สนามการเมืองของ "นักการเมืองตกขอบ" อย่าง สมัคร สุนทรเวช ที่ไม่คิดไม่ฝันจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่ทำทุกอย่างเพื่อตำแหน่ง มท.1 ที่เขาเองยัง "เซอร์ไพร์ส" นั่นคือเนื้อหา "ฉะ แฉ ฉาว 2 เล่ห์..ลมปากการเมืองไทย" ที่ทำหน้าที่เป็นเครื่องบันทึกเทปปากคำนักการเมืองไทย และทำหน้าที่สะท้อนให้เห็นถึง "เนื้อแท้" ของมนุษย์พันธุ์พิเศษเหล่านี้ เมื่อเปรียบเทียบกับพฤติกรรมที่แสดงออกมาในปัจจุบันว่า "..คำพูดเมื่อวันวาน..แตกต่างจากพฤติกรรมในวันนี้อย่างไร..?
|