เมื่อช่วงบ่าย วันที่ 26 พฤษภาคม ที่ผ่านมา นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดแถลงข่าวชี้แจงกรณีถูกกล่าวหากล่าวสุนทรพจน์ภาษาอังกฤษให้แก่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศ เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2550 เป็นการหมิ่นสถาบันเบื้องสูงว่า เรื่องนี้ยังไม่ถึงขั้นนั้น แต่เป็นเพียงคำกล่าวหาจากบุคคลหนึ่ง ซึ่งไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผสมด้วยการขยายประเด็นอย่างบิดเบือนโดยพรรคประชาธิปัตย์และกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เขย่าผ่านสื่อมวลชนจนกลายเป็นประเด็นใหญ่ของบ้านเมือง ซึ่งคนที่ได้อ่านจริงๆ มีไม่กี่คน แต่ส่วนใหญ่เป็นการนำคำพูดของผู้อื่นมาถ่ายทอดซ้ำ
โดยสาเหตุที่สามารถจะบิดเบือนเรื่องนี้กันได้มาก มีอยู่ 3 ประการ คือ ประการแรก เป็นคำบรรยายสดภาษาอังกฤษ ซึ่งถ้าจะเข้าใจก็ต้องแปลเป็นไทย แต่ก็ขึ้นอยู่กับคนแปลด้วย จะแปลอย่างซื่อสัตย์ หรือแปลอย่างฉ้อฉล ประการที่ 2 ที่บิดเบือนกันได้มากก็เพราะเป็นการพูดต่อหน้าคนฟังที่เป็นชาวต่างประเทศส่วนใหญ่ เพราะฉะนั้น การอธิบายศัพท์สำนวนต่างๆ จึงไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกับบริบทในการพูดกับคนไทยได้ และประการที่ 3 เป็นคำกล่าวเชิงวิชาการ ซึ่งตนขึ้นเวทีคู่กับนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ไม่ใช่เป็นการบรรยายเรื่องการเมือง หรือเป็นการให้นโยบายใดๆ ทั้งสิ้น
นายจักรภพ กล่าวยอมรับว่า รู้สึกโกรธที่ถูกกล่าวหาไม่จงรักภักดี โดยการเอาเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องนี้มาชี้เป็นประเด็นสร้างความเสื่อมเสียให้ตนเอง รัฐบาล โดยเฉพาะครอบครัวได้รับผลกระทบไปด้วย คือมีความกังวลใจอยู่ตลอดเวลา จึงถือเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องออกมาอธิบายกันให้ชัด โดยความจงรักภักดีของตนและครอบครัวนั้นเป็นที่ประจักษ์มาหลายชั่วอายุคนแล้ว เป็นครอบครัวทหาร รับราชการมาตั้งแต่รุ่นปู่ถึงบิดา และถึงพี่ชายอีก 2 คน จึงเป็นเรื่องที่ตนถูกปลูกฝังมาตั้งแต่ต้นในความจงรักภักดี
“นอกจากจะได้พระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เป็นรัฐมนตรี ผมยังทำหน้าที่ในการถวายงานแด่เจ้านายในพระบรมวงศานุวงศ์ เป็นจำนวนมากมายหลายงาน เช่น งานพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ซึ่งผมเป็นประธานอนุกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์ งานที่เกี่ยวกับหอภาพยนตร์ส่วนพระองค์ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว งานที่เกี่ยวกับโครงการตามแนวพระราชดำริต่างๆ อีกมาก” นายจักรภพ กล่าวย้ำ
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการบรรยายในวันที่ 29 สิงหาคม 2550 ได้กระทำอย่างเปิดเผย ต่อหน้าผู้คน สื่อมวลชนเป็นจำนวนมาก จึงมีความระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ ที่จะทำให้การบรรยายครั้งนั้นเป็นเรื่องของวิชาการ เป็นการบรรยายให้ชาวต่างประเทศฟัง เพื่อให้เกิดความเข้าใจ ที่สำคัญคือต้องพูดในภาษาที่ชาวต่างประเทศเข้าใจได้โดยที่ไม่ให้ผิดเพี้ยนความหมายในภาษาไทย ซึ่งเอกสารที่จะแจก 1 ชุด จะประกอบด้วยเอกสาร 4 ชิ้นคือ 1.คำบรรยายภาษาอังกฤษ 2.คำแปลภาษาไทย 3.สำนวนแปลของ พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ มุ่งกิจการดี ผู้แจ้งความดำเนินคดี 4.สำนวนแปลของพรรคประชาธิปัตย์ที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ส่งมาให้ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี เรียกร้องให้ปลดตนออกจากคณะรัฐมนตรี
นายจักรภพ กล่าวด้วยว่า ในสำนวนแปลทั้ง 3 สำนวน ปรากฏความแตกต่างที่เป็นความเป็นความตายในคดีนี้อยู่มาก เป็นต้นว่า จับภาษาอังกฤษที่เป็นหัวใจของการบรรยายในครั้งนี้ คือคำว่า “ระบบอุปถัมภ์” ซึ่งใช้ในภาษาอังกฤษว่า “patronage” สำนวนของตนกับพรรคประชาธิปัตย์ แปลตรงกัน คือ ระบบอุปถัมภ์ แต่สำนวนแปลของ พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ กลับระบุคำแปลเป็น “ราชาธิปไตยระบบเผด็จการ” หรือคำว่า “Myth” ที่ถูกต้องคือแปลว่า “ตำนาน” ซึ่งหมายถึง เรื่องที่เชื่อ ที่เคารพ ที่ยึดมั่นทางใจกันต่อๆ มา แต่สำนวนแปลของ พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ กลับแปลว่า “เทพนิยาย” โดยการแปลบิดเบือนยังมีอีกหลายจุด หลายตอน ตามเอกสารที่แจกไป ซึ่งตนจะนำเอกสารทั้งหมดเผนแพร่บนเว็บไซต์ 3 แห่งด้วย ได้แก่ www.thaigov.go.th, www.opm.go.th และ www.pantip.com เพื่อให้สาธาณชนได้อ่านกันโดยทั่วไปด้วย
อย่างไรก็ตาม นายจักรภพ ได้กล่าวตอบโต้ให้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยชื่อบุคคลที่แปลเอกสาร เพื่อจะนำไปฟ้องร้องดำเนินคดี หรือไม่เช่นนั้นให้นายอภิสิทธิ์ ค้ำประกันการแปลเอกสารดังกล่าว และพร้อมเผชิญหน้ากับนายอภิสิทธิ์ทุกเวที หากจะนำทีละคำ ทีละประโยคมาทำให้เกิดความกระจ่างชัดขึ้น โดยกล่าวว่า
“ผมจึงอยู่เฉยไม่ได้ และได้มอบให้ทีมงานทางกฎหมายดำเนินการกับพรรคประชาธิปัตย์ ในการใช้สถาบันมาทำลายพรรคการเมือง เป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ขอให้นายอภิสิทธิ์จงแสดงความรับผิดชอบออกมา ระบุชื่อนามสกุลของคนแปลฉบับประชาธิปัตย์ออกมา หากหาคนแปลไม่ได้ให้ นายอภิสิทธิ์ต้องค้ำประกันการแปล” นายจักรภพ กล่าวและว่า
การที่พรรคประชาธิปัตย์ยื่นเรื่องให้นายกรัฐมนตรีถอดถอนตนเองออกจากตำแหน่ง ถือว่าไม่ให้โอกาสกระบวนการยุติธรรมดำเนินการ จึงเป็นการไม่เคารพกระบวนการดังกล่าว เป็นความสิ้นคิดและไม่มีความเป็นผู้ใหญ่ ดังนั้น จึงขอพิสูจน์ว่าระหว่างตนเองกับนายอภิสิทธิ์ ใครจะมีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างแท้จริงกว่ากัน หรือใครดึงฟ้าต่ำ ซึ่งสังคมรอตัดสินอยู่
“ผมขอบอกไว้ตรงนี้ว่า เรื่องนี้เป็นการพิสูจน์ว่าระหว่างผมกับนายอภิสิทธิ์ ใครจะมีความจงรักภักดีมากกว่ากัน ใครเป็นคนดึงฟ้าต่ำ สังคมกำลังรอตัดสิน พร้อมเผชิญหน้ากับนายอภิสิทธิ์ทุกเวที บอกว่าที่ไหนอย่างไร บอกว่าจะใช้วิธีการอย่างไร เสียดายอภิสิทธิ์นักการเมืองรุ่นใหม่ แต่มีความคิดเก่าสุดกู่” นายจักรภพ กล่าว
นอกจากนี้ ตนได้ทำหนังสือขอลากิจ 7 วัน ต่อนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันนี้ ซึ่งจะใช้ช่วงเวลาดังกล่าวฟังข่าวสารจากบุคคลต่างๆ ในประเทศไทย เพื่อประกอบการตัดสินใจในการดำเนินการต่อไป แต่ไม่ใช่เพื่อการตัดสินใจลาออก เพราะไม่มีเหตุผล นอกจากนี้ หากลาออกในตอนนี้ สังคมก็ไม่ได้ความจริง คนที่เสี้ยมต้องการให้เกิดความแตกแยกก็จะเสี้ยมเรื่องอื่นต่อไป
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงผู้นำทหาร คือ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี และอดีตนายกรัฐมนตรี และ พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ด้วยว่า เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ต้องเคารพด้วยความจริงใจ ที่บุคคลทั้ง 2 ออกมากล่าว อยากให้ทุกฝ่ายยุตินำสถาบันเบื้องสูงมากล่าวอ้างด้วย แม้ความคิดเห็นทางการเมืองจะไม่ตรงกันก็ตาม