ที่มา ประชาทรรศน์
คอลัมน์ : รายงานพิเศษ
กลุ่มพันธมิตรฯ อ้างสิทธิตามรัฐธรรมนูญ ในการชุมนุมอย่างสงบปราศจากอาวุธ เพื่อต่อต้านรัฐบาลที่พวกมันเชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ และความเชื่อของผู้คนจำนวนไม่น้อยว่าการชุมนุมที่เกิดขึ้นนั้นมีเบื้องหน้า เบื้องหลัง และมีเรื่องราวแอบแฝงมากมาย
แม้ว่าการชุมนุมที่เกิดขึ้นจะอ้างสิทธิ์ตามกฎหมาย แต่ขณะเดียวกันก็ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่ามีการสั่งสมอาวุธ มีดและปืน ถูกนำมาใช้ทำร้ายฝ่ายตรงกันข่วมและมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตเกิ ดขึ้นหลายราย พร้อมกับการกระทำที่สร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินทั้งส่วนบุคคลและของส่วนราชการ รวมไปถึงการลักทรัพย์ในสถานที่การชุมนุมที่รวมแล้วประเมินค่ามิได้
โดยยังไม่นับรวมถึงมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจ ที่เชื่อกันว่าหากประเมินต่อเนื่องไปถึงความสูญเสียโอกาส และผลกระทบในระยะยาวจะเสียหายไม่น้อยกว่าล้านล้านบาท (1,000,000,000,000)
ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนั้น เป็นหน้าที่ของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เววชาชีวะ ที่จะตอบโจทย์สัญญาที่จะบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม และนำเอาตัวคนผิดมาลงโทษ เพื่อเป็นบรรทัดฐานของกฎหมายไทย และพิสูจน์ตัวว่าไม่ได้เป็นพวกเดียวกัน หรือมีส่วนสนับสนุนการชุมนุมอย่างที่มีผู้คนสงสัย
ลองมาย้อนดูกันว่าในช่วงเวลา 6-7 เดือนของการชุมนุม พันธมิตรฯ ก่อกรรมทำเข็ญไว้อย่างไรบ้าง ซึ่งคงประมวลมาได้เพียงบางส่วนเท่านั้น เพราะพฤติกรรมชั่วนั้น จริงๆ แล้วมีมากมายเหลือเกิน
ทั่วโลกประณาม
ปิดสนามบินสุวรรณภูมิ-ดอนเมือง
เหตุการณ์บุกยึดสนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมืองของกลุ่มพันธมิตรฯ เกิดขึ้นท่ามกลางความอลหม่าน ในคืนวันที่ 25 พฤศจิกายน 2551 เป็นการสร้างความตื่นตระหนกให้กับนักท่องเที่ยวนานาชาติ และการเข้าไปยึดหอบังคีบการบินก็ทำให้เกิดความกังวลใจถึงความปลอดภัยในการบิน จนบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน)หรือทอท. ต้องประกาศปิดสนามบิน โดยสิ่งที่เกิดขึ้นถือเป็นการตัดเส้นเลือดใหญ่ของการท่องเที่ยวในเมืองไทยในทันที และเกิดความเสียหายฉับพลับ ส่งผลกระทบไปทั้งโลกนับหมื่น นับแสนล้าน
อีกทั้งยังเป็นการทำลายภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยวไทยชนิดที่เรียกว่า “กู่ไม่กลับ”ในช่วงที่เรียกว่าเศรฐษกิจไทยกำลังเอาตัวยังเกือบไม่รอด
ภาพของนักท่องเที่ยวกว่า 3.5 แสนคนที่ตกค้างอยู่ในประเทศไทยจากการปิดสนามบินกว่า 7 วัน ทำความเสียหายให้ธุรกิจการบินและการท่องเที่ยวหลายแสนล้านบาท จากการที่นักท่องเที่ยวจากหลายประเทศยกเลิกการเดินทางมาประเทศไทยในเดือนธันวาคมไปจนถึงต้นปีหน้า ย่อมส่งผลโดยตรงต่อเม็ดเงินของรายได้จากต่างประเทศเข้าสู่ประเทศไทยที่ต้องขาดหายไป
ซึ่งเม็ดเงินเหล่านี้จะส่งผ่านธุรกิจท่องเที่ยวหลัก ไม่ว่าจะเป็นสถานประกอบการด้านที่พัก บริษัทนำเที่ยวในประเทศไทย ภัตตาคาร ร้านอาหารและธุรกิจขนส่งในประเทศถึงร้อยละ60 และที่เหลืออีกร้อยละ 40 จะเป็นรายได้ที่ส่งผ่านการช็อปปิ้ง ในห้างสรรพสินค้า หรือร้านค้าของที่ระลึก
ยิ่งกว่านั้นผลกระทบครั้งนี้ก็ไม่ได้สร้างความเสียหายแค่ในกรุงเทพฯซึ่งเป็นประตูหลักที่รับนักท่องเที่ยวเท่านั้น แต่กระจายไปยังผู้ประกอบการในแหล่งท่องเที่ยวหลัก ซึ่งเป็นพื้นที่รับนักท่องเที่ยวต่างชาติค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นภูเก็ต พัทยา เชียงใหม่ สมุย กระบี่ ชะอำ หัวหิน แม้แต่แหล่งท่องเที่ยวรอง ซึ่งเคยอาศัยการท่องเที่ยวพ่วงไปกับแหล่งท่องเที่ยวหลัก เช่น อยุธยา กาญจนบุรี แม่ฮ่องสอน เชียงราย ก็ได้รับความเสียหายกระจายกันไปถ้วนหน้า
เห็นได้จากอัตราการเข้าพักเฉลี่ยนับจากช่วงปิดสนามบินที่มีจะอยู่ที่ 20% จากปกติช่วงนี้จะต้องอยู่ที่ 80-90% และเป็นครั้งแรกที่จะเห็นห้องพักของโรงแรมหรูในกรุงเทพฯเกือบทุกแห่งที่มีอัตราการเข้าพักอยู่ในระดับตัวเลขหลักเดียว
ดังนั้นพฤติกรรมอันอุบาทครั้งนี้จึงขอจัดอันดับเป็นอันดับที่ 1 เปิดตัวผลงานความ “เลวระดับอภิมหาเลว” สุดเท่าที่มีการก่อตั้งพันธมิตรฯขึ้นมา
ที่สำคัญม็อบยึดสนามบินครั้งนี้ มีคนที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในรัฐบาลปัจขจุบัน อย่างนายกษิต ภิรมย์ เป้นหนุ่งในหัวหอก เลยยังไม่รู้จะไปบอกไปกล่าวกับนานาชาติอย่างไร เพราะหนึ่งในคำขอความมั่นใจคือการดำเนินคดีกับพันธมิตรฯ และสัญญาว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์ณ์ร้ายๆ เช่นนี้ขึ้นอีก...!!???
ย่ำยีทำเนียบรัฐบาล
ยึดสถานที่สำคัญทำซ่องโจร
พฤติกรรมความชั่วสนองความบ้าคลั่งของกลุ่มพันธมิตรฯ ยังมีอีกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อน คือการบุกเข้ายึดทำเนียบรัฐบาลเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม ซึ่งนับเป็นเวลา 193 วันที่ประชาชนได้เห็นภาพเศษซากปรักหักพังภายในทำเนียบฯสถานที่สำคัญของชาติ ซึ่งบอกเล่าได้คำเดียวว่า “น่าเศร้าใจอย่างที่สุด” โดยสำนักปลัดฯ ได้ประมาณการตัวเลขความเสียหายเบื้องต้น 100 ล้านบาท ในการปรับภูมิทัศน์ และยังมีความเสียหายของตัวอาคาร และเครื่องใช้สำนักงาน ข้าวของเจ้าหน้าที่ ที่ถูกทำลายเสียหาย และบางส่วนถูกโจรกรรมออกไปโดยฝีมือโจรชั่ว
ความเสียหายในครั้งนี้ จัดเป็นอีกเรื่องที่สุดจะบรรยาย โดยแม้แต่เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน สำนักงานนิติวิทยาศาสตร์ และเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่มีโอกาสได้เข้าสำรวจความเสียหายภายในสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นครั้งแรก ภายหลังได้ตรวจสอบความปลอดภัยและเก็บกู้วัตถุระเบิดไปแล้ว ถึงกับร้องโอ๊ย!!!...เพราะพบร่องรอยการงัดและรื้อค้นสิ่งของตามลิ้นชักโต๊ะต่างๆ ที่แม้จะล็อกประตูห้องไว้อย่างแน่นหนา แต่ก็ถูกงัดฝ้าเพดานเข้าไปกวาดทรัพย์สินทั้งหมด
และด้วยความเสียหายที่ฉกาจฉกรรจ์อย่างนี้เอง จึงส่งผลให้เรื่องนี้จัดเป็นความเลวอันดับที่ 2 ที่สมควรจะหยิบขึ้นมาประจาญให้คนได้รู้ว่า “เลวสุดขั้ว” เป็นอย่างไร
ขนคนปิดล้อมสภา
โยนข้อหาให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ
โศกนาฏกรรม "7 ตุลาทมิฬ" ที่กลุ่ม พันธมิตรฯนำกำลังสาวกไปประท้วงหน้ารัฐสภาฯซึ่งถือเป็นสร้างความปั่นป่วนให้สถานการณ์บ้านเมืองถึงขั้น “วิกฤติครั้งที่ 2” หลังจากบุกยึดทำเนียบฯรัฐบาลโดยการกระทำอันขาดสติครั้งนี้ของ 9 แกนนำพันธมิตรฯ ภายใต้การยุแยงของนายสนธิ ลิ้มทองกุล และพล.ต.จำลอง ศรีเมือง ได้นำพาภาพความสลดใจกลับมาให้สังคมได้มีโอกาสเห็นอรกครั้ง นั่นคือ การพาคนไปตายเป็นครั้ง 2 ของพล.ต.จำลอง ศรีเมือง
อีกทั้งเป็นสถานการณ์ที่ยืนยันให้เห็นชัดว่าพันธมิตรฯ มีอาวุธและศักยภาพมากเพียงไหน ในการตอบโต้เจ้าหน้าที่อย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย ซึ่งมีทั้งการตอบโต้โดยการใช้อาวุธปืนและวัตถุระเบิดที่เตรียมพร้อมมาเป็นอย่างดี แต่ด้วยเพราะคนที่นำมาใช้ไม่ได้รับการฝึกฝน จนทำให้เกิดโศกนาฏกรรม “กรรมสนอง” ไปถึง 2 ราย
แต่ความเลวระดับเทพครั้งนี้ยังไม่จบ นอกจากพันธมิตรฯจะบุกมาปิดล้อมสภา ส่งผลทำให้เจ้าหน้าที่บาดเจ็บเป็นจำนวนมากแล้ว ยังคงมีความพยายามจากผู้ที่ให้การสนับสนุน ออกมาให้ความช่วยเหลือโดยการผลักความรับผิดชอบไปให้เจ้าหน้าที่ผู้รักษากฎหมาย และเจ้าหน้าที่รัฐบาล ให้เป็นผู้รับผลกรรมแทน ซึ่งถึงตอนนี้เรื่องก็ยังคาราคาซึง รอใกห้รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ เข้ามาจัดการตามกฎหมายอย่างเป็นธรรม ดังที่ได้ว่าเอาไว้
จึงส่งผลให้พฤติกรรมเลวครั้งเข้าขั้นอันดับ 3 เพื่อเป็นการบอกเล่าให้ใครต่อใครได้รับรู้ว่า “เลวได้ใจ” เข้าขั้นไหนถึงจะใช้ได้
กองโจรพันธมิตร
ฆ่า!ผู้บริสุทธิ์ไม่ผิดกฎหมาย?
เหตุการณ์ 2 กันยาฯ เลือด ที่พันธมิตรฯ เปิดฉากถล่มกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กลางถนนราชดำเนิน เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่เรียกได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า "ไทยฆ่าไทย" และเป็นอีกหนึ่งรอยด่างในประวัติศาสตร์การเมืองบ้านเรา
เพราะความรุนแรงคืนนั้นทำให้ผู้มีเสียชีวิต 1 ราย คือ นายณรงค์ศักดิ์ กอบไธสง อายุ 55 ปี ซึ่งถูกของแข็งตีที่ศีรษะ ร่างกายจนบาดเจ็บสาหัสและสิ้นใจในที่สุด
น่าเศร้าเหลือเกินที่การตายของคนไทยคนหนึ่งแทบไม่มีใครหรือฝ่ายใดเหลียวแลรับผิดชอบเลย โดยเฉพาะจากแกนนำพันธมิตรฯที่ออกมาประกาศกร้าว อย่างไร้มนุษยธรรมว่า “บุกเข้ามาทำไม” ซึ่งความเจ็บช้ำคงต้องตกเป็นภาระขอญาติพี่น้องที่ไม่สามารถทวงความยุติธรรมคืนให้กับผู้ที่เสียชีวิตได้
พฤติกรรมความเลวครั้งนี้จึงถูกจัดอันดับ 4 ใน 5 พฤติกรรมชั่วที่พันธมิตรฯได้ก่อความ “เลวอย่างไร้ศีลธรรม” เอาไว้เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจให้นึกถึงผู้ที่ต้องจากไปอย่างกล้าหาญ
เป็นอีก 1 งานที่ต้องฝากไว้กับรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์อีกเหมือนกัน เพราะเหตุการณ์นี้เนิ่นนานกว่ากรณีทุบรถส.ส. เมื่อ 2-3 วันก่อนนักหนา แต่ป่านนี้ก็ยังหาคนผิดมาลงโทษไม่ได้ ถ้าจะต้องเด้ง ผบ.ตร.อีกรอบ เพื่อให้กฎหมายศักดิ์สิทธิ์ ปชป.ก็ต้องทำ!!!
คุมคามสื่อ-บุกNBT
เอายังไงดี? ข้อหาที่ปชป.รับไม่ได้
ปิดท้ายต้นตระกูลความเลวของพันธมิตรฯ ด้วยเหตุการณ์อีกหน้าประวัติศาสตร์ที่ต้องจารึกเอาไว้ในวงการสื่อสารมวลชน ที่ถูกคุกคามอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย เสมือนตัวเองเป็นผู้เขียนเอาไว้เอง นั้นคือ การบุกเข้ายึดสถานีโทรทัศน์ NBT เพื่อเตรียมทำการเชื่อมต่อสัญญาณดาวเทียมเข้ากับ ASTV ให้สามารถถ่ายทอดออกอากาศสัญญาณรายการของตัวเอง ที่ไม่มีใครรู้ว่าจะเป็นการประกาศยึดอำนาจ หรือเป็นรายการรูปแบบใด
แต่การแสดงพฤติกรรมถ่อยข่มขู่สื่อมวลชนที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ ถือได้ว่าเป็นการกระทำเยี่ยงกองโจร เป็นการใช้กำลังอาวุธเข้ายึดสถานที่ราชการเป็นแห่งแรกก่อนที่เข้ายึดทำเนียบฯได้สำเร็จในเวลาต่อมา และเป็นการจุดประเด็นให้มีการตั้งข้อหาหนักคือ “ก่อการกบฏ”
โดยถึงแม้ว่าความเสียหายครั้งนั้นจะมีเพียงการทุบทำลายข้าวของเพียงเล็กน้อย แต่ก็ถือเป็นจุกเริ่มต้นพฤติกรรมความเลวทั้งหมด ที่เกิดขึ้นตามมาอย่างเป็นลำดับ ถือว่าเป็นความละเลยผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องที่ปล่อยเหตุการณ์ทวีความรุนแรงอย่างไม่สามารถที่จะแก้ไขยับยั้งอะไรได้
แต่ส่วนหนึ่งนั้นคงจะปฏิเสธไปได้ว่า ทั้งหมดเป็นความระยำที่พันธมิตรฯจะสรรหามากระทำให้ประเทศชาตินี้ได้บอบช้ำ ไปจนกว่าจะสาแก่ใจพวกที่อยู่เบื้องหลัง ความเลวครั้งนี้จึงขอจารึกไว้เป็นอันดับ 5 และขอยืนยันว่า พันธมิตรฯ นั้น “เลวสิ้นดี”
ที่สำคัญความเลวในระดับนี้ไม่ได้อยู่ในสายตาของบรรดาองค์กรสื่อ ไม่มีแม้หนังสือแสดงจุดยืน ต่างกับเรื่องกระทบกระทั่งระหว่างเสื้อแดง-เสื้อเหลืองที่จะเอาเป็นเอาตาย ตอนนี้ผู้คนเขาเรียกกันว่า “องค์กรเสื่อม” ไม่รู้จะคิดกันอย่างไร..????