ที่มา Thai E-News
เหมาะสมหรือไม่?-ภาพเวทีปราศรัยของ “ม็อบเสื้อแดง” หรือ กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ซึ่งตั้งประจันหน้ากับอาคารรัฐสภา และหลังพิงอยู่กับสวนสัตว์ดุสิต ซึ่งผู้สังเกตการณ์ ผู้สื่อข่าวและช่างภาพจำนวนหนึ่งได้จับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสม เนื่องจากฉากหลังของเวทีมีการเขียนข้อความที่ไม่เหมาะสมไว้คู่กับ พระบรมสาทิสลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ (ภาพและคำบรรยายจากเวบผู้จัดการ ซึ่งต่อมาผู้จัดการได้เปลี่ยนพาดหัวข่าวจาก"เหมาะสมหรือไม่"เป็นคำว่า"จาบจ้วง?")
โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
ที่มา เวบผู้จัดการ
29 ธันวาคม 2551
เวบผู้จัดการ กระบอกเสียงของโจรก่อการร้ายพันธมิตร ได้ออกมาแสดงบทบาท"หนังสือพิมพ์ดาวสยามยุคออนไลน์"อีกครั้ง เมื่อนำเสนอข่าวและคำบรรยายภาพดังข้างต้น โดยมีเจตนาชัดแจ้งในการดึงสถาบันกษัตริย์ลงมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองของตน และโจมตีความเคลื่อนไหวของฝ่ายประชาธิปไตย หรือปลุกเร้าให้เกิดการเข้าใจผิดจากการบิดเบือนของสื่อ แบบเดียวกับที่หนังสือพิมพ์ดาวสยามเคยทำเอาไว้ในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ซึ่งพฤติการณ์ทำนองนี้ผู้จัดการเคยถูกดร.อุบลรัตน์ ศิริยุวศักดิ์ นักวิชาการด้านสื่อออกแถลงการณ์ประนามมาหนหนึ่งแล้วว่า มีพฤติการณ์"สื่อเป็นพิษ" และโดน130นักวิชาการชื่อดังออกแถลงการณ์ประนามจนต้องปลด"ต่อพงษ์"ดีเจปากมอมมาแล้ว
แม้ว่าในเนื้อหาของข่าวเดียวกันนี้ ผู้จัดการได้อ้างคำสัมภาษณ์แกนนำม็อบเสื้อแดงไว้ แต่ก็ดูเหมือนเจตนาทั้งหมดก็เพื่อดึงสถาบันกษัตริย์มาเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อทำลายล้างฝ่ายตรงข้าม
แกนนำเสื้อแดงเผยนำพระบรมฉายาลักษณ์ขึ้นเวทีเพื่อเทิดทูน เมื่อไม่สบายใจก็แก้ไขแล้ว
เนื้อข่าวเขียนไว้ตอนท้ายๆข่าวว่า นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำนปช.และส.ส.สัดส่วน สมาชิกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตนไม่ทราบว่ามีใครนำรูปพระบรมฉายาลักษณ์ดังกล่าวไปติดที่ฉากเวทีปราศัย แต่ยืนยันว่าไม่เจตนาละเมิดสถาบันแน่นอน เพราะกลุ่ม นปช.ต้องการแสดงให้เห็นว่า นปช.เทิดทูลสถาบัน แต่เนื่องจากมีความพยายามเชื่อมโยงเรื่องดังกล่าวจึงนำรูปดังกล่าวลงเพื่อป้องกันไม่ให้ไปขยายผลต่อไปและทำให้เกิดปัญหาได้ ส่วนข้อความว่า “ไม่ไว้วางใจ อภิสิทธิ์ชนโจร” นั้นเราต้องการโจมตีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนายกรัฐมนตรี เท่านั้นไม่มีนัยยะแอบแฝง
พ.ต.ท.สุรทิน พิมานเมฆินทร์ สส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ไม่ทราบว่ามีการนำพระบรมฉายาลักษณ์มาติดตั้งเป็นฉากหลังเวที แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ส่วนตัวเห็นว่าไม่เสียหาย และไม่น่าจะมีปัญหาอะไรเพราะเป็นการเทิดทูน คนไหนที่ไม่เทิดทูนก็ไม่ใช่คนไทย และคิดว่า ไม่ใช่เรื่องที่ไม่เหมาะสม เพราะชาวไทยต่างเทิดทูนอยู่แล้วโดยเฉพาะกลุ่มเสื้อแดงที่ต่างเทิดทูนเพราะพระองค์ท่านเป็นเหมือนเครื่องเตือนสติ ส่วนที่มีการรื้อภาพภายหลังนั้นก็ไม่ทราบเหมือนกัน เพราะช่วงปราศรัยก็ไม่ได้สังเกตุ ส่วนเสียงวิจารณ์นั้นก็สามารถโจมตีได้ทุกเมื่อ แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็น ผู้สื่อข่าวถามว่า ส.ส.ในพรรครู้เห็นกับการนำภาพพระบรมฉายาลักษณ์มาติดด้วยหรือไม่ พ.ต.ท.สุรทิน กล่าวว่า ไม่ทราบเหมือนกัน เพราะไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้ ส่วนใครเอาออกก็ไม่ทราบ
ผู้จัดการรายงานอีกว่า การนำภาพพระบรมฉายาลักษณ์มาติดด้านข้างข้อความ “อภิสิทธิ์ชนโจร” นั้น ทำให้เป็นที่วิจารณ์อย่างกว้างขวางทั้งจากผู้ที่พบเห็นและสื่อมวลชนว่าไม่เหมาะสม จนมีการโพสต์ในเวปไซด์ต่างๆ รวมทั้งยังมีการเสนอภาพข่าวในช่วงข่าวภาคเที่ยงของสถานีโทรทัศน์หลายช่องด้วย จนมีวิพากษ์วิจารณ์ด้วยว่า อาจถูกตีความที่ล่อแหลมนำไปสู่การละเมิดสถาบันได้ อย่างไรก็ตาม มีการขอร้องให้แกนนำนปช.เอาภาพพระบรมฉายาลักษณ์ออกจากเวที จนทำให้แกนนำต้องปลดภาพพระบรมฉายาลักษณ์ออกจากหลังฉากเวทีในช่วงเที่ยง เหลือเพียงแค่ข้อความว่า “อภิสิทธิ์ชนโจร” เท่านั้น
ทำพิลึกสัมภาษณ์ให้ยะใสใส่ร้ายเสื้อแดงหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
ในข่าวเดียวกันนี้ผู้จัดการได้ลงบทสัมภาษณ์นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรฯซึ่งเป็นปฏิปักษ์การเมืองของนปช. เพื่อกล่าวใส่ร้ายนปช.ในเรื่องนี้ ว่า เป็นเรื่องที่มิบังควรอย่างยิ่งที่ นปช.ทำฉากเวทีโดยมีพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนารถอยู่แถวเดียวกับคำว่า “อภิสิทธิ์ชนโจร” ถือเป็นการส่อเจตนาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงอย่างชัดเจน
ก่อนหน้านี้ในช่วงพันธมิตรฯ ชุมนุม และ สมเด็จพระราชินีนารถเสด็จพระราชทานเพลิงศพน้องโบว์ ในช่วงนั้น นปช. จัดเวทีที่สนามหลวงก็ทำฉากเวทีที่มีรูปไดโนเสาร์สวมแหวนเพชรบลูไดมอนด์ และนายสุชาติ นาคบางไทร แกนนำ นปช. ก็ปราศรัยหมิ่นสถาบันจนถูกออกหมายจับ หรือ ปล่อยให้มีธงชาติไทยที่มีข้อความพ่อก็ไม่รัก แม่ก็ลำเอียง ปรากฎในที่ชุมนุมที่สนามศุภชลาศัย ในวันที่ 13 ธ.ค. ที่ผ่านมาอีกด้วย
นายสุริยะใส กล่าวอีกว่า เข้าใจว่าแกนนำพยายามจะซ่อนความหมายหรือนัยยะของการเคลื่อนไหวเพื่อให้มวลชนเข้าใจและเชื่อว่าสถาบันเบื้องสูงอยู่คนละฝั่งกับขบวนการคนรักทักษิณ ถือเป็นการจาบจ้วงซ่อนรูป หากจะแสดงความจงรักภักดีจริงจะต้องจัดวางพระบรมฉายาลักษณ์ไว้ในที่สูงสุดหรือในที่ที่อันควร ส่วนที่กลุ่มนปช.อ้างว่าการเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นการเลียนแบบการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯนั้น อยากเสนอแนะว่าอย่าเลียนแบบเฉพาะรูปแบบ แต่ต้องศึกษาและเลียนแบบเนื้อหาการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ ด้วย โดยเฉพาะเนื้อหาการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ ที่ต่อสู้เพื่อการเมืองใหม่ แต่เนื้อหาของกลุ่ม นปช.เป็นการต่อสู้เพื่อคนคนเดียวคือ พ.ต.ท.ทักษิณ
ย้อนรอย 130 นักวิชาการออกแถลงการณ์ประณามจนผู้จัดการปลดสื่อปากสุนัข
ก่อนหน้านี้นอกจากดร.อุบลรัตน์ ศิริยุวศักดิ์ นักวิชาการด้านสื่อชื่อดังจากจุฬาฯจะออกแถลงการณ์ประณามผู้จัดการว่าทำตัว"สื่อเป็นพิษ"แล้วก็ยังมีนักวิชาการ นักสหภาพแรงงานราว 130 คนลงชื่อประณามเครือผู้จัดการในแถลงการณ์เรื่องเราขอประณามพฤติกรรมของสื่อในเครือข่ายผู้จัดการกรณีคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
โดยแถลงการณ์ระบุในตอนหนึ่งว่า เรา ผู้ลงชื่อท้ายจดหมายนี้ ขอประณามพฤติกรรมของสื่อ ผู้จัดการ ในการยุให้เกิดความรุนแรงกับผู้ที่มองต่างมุม กรณีคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
ในรายการ Metro Life ของวิทยุผู้จัดการมีการส่งเสริมยุให้ประชาชนเข้าไปทำร้ายร่างกายของผู้เข้าร่วมการสัมมนาเรื่องสิทธิมนุษยชนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และก่อนหน้านั้นสื่อ ผู้จัดการ ได้เปิดเวปไซท์ให้ผู้ที่ส่งเสริมการทำร้ายร่างกายของบุคคลที่ไม่ยอมยืนในโรงภาพยนตร์ และผู้ที่สนับสนุนสิทธิเสรีภาพของบุคคลนั้นในการแสดงออกอีกด้วย มีการโฆษณาทั้ง ชื่อ ที่อยู่ และแนะนำให้คนร้ายไปรอดักทำร้ายร่างกาย
การส่งเสริมความรุนแรงต่อผู้ที่มองต่างมุม ถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพพื้นฐานในระบอบประชาธิปไตย และเป็นพฤติกรรมคล้ายกับการกระทำของพวกฝ่ายขวาจัดที่นำไปสู่เหตุการณ์นองเลือด ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙
เราขอเรียกร้องให้ทุกคนที่รักสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตย ร่วมกันบอยคอตสื่อทุกชนิดในเครือข่ายผู้จัดการ ขอเรียกร้องให้ สมศักดิ์ โกศัยสุข พิภพ ธงไชย และสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ออกมาประณามการกระทำของสื่อนี้ด้วย
ผู้ลงชื่อในคราวนั้น เช่น นายใจ อึ๊งภากรณ์ นายไชยันต์ ไชยพร นายนิธิ เอียวศรีวงศ์ นายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ นายเกษียร เตชะพีระ เป็นต้น
เครือผู้จัดการได้แถลงการณ์ในเวลาต่อมาว่า เป็นความผิดพลาดของผู้จัดรายการคือนายต่อพงษ์ เศวตามร์ และนายต่อพงษ์ได้ยุติการดำเนินรายการวิทยุดังกล่าวหลังเหตุการณ์นี้