ที่มา ประชาทรรศน์
5 อันดับข่าวร้อนแห่งปี
ตลอดปี 2551 “ประชาทรรศน์” ได้เกาะติดสถานการณ์ รายงานความจริงให้กับสังคมผ่านตัวอักษร จนเป็นที่คุ้นเคยและไว้วางใจของพี่น้องผู้รักประชาธิปไตย ตลอดจนดึงเอาความยุติธรรมและเปิดโปงความลับอันดำมืดของวงจร “อำมาตยาธิปไตย” ออกมาตีแผ่
ที่สำคัญ “ประชาทรรศน์” ได้เปิดประเด็น เปิดโปง ความไม่ชอบมาพากลที่ถูกปิดเอาไว้มากมายหลายเรื่อง ซึ่งแม้บางเรื่องราวจะติดขัดเพราะมีขบวนการบางอย่าง แต่เราก็สัญญาว่าจะ “กัดติด” ทุกเรื่องราวต่อไป
คฤหาสน์หรู50ล้าน
‘จารุวรรณ’ ส่อรวยผิดปกติ
สำหรับประเด็นตรวจสอบ คุณหญิงจารุวรรณ เมฑกา ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ที่ “ประชาทรรศน์”ได้เดินหน้าเกาะติดรายงานความสถานการณ์มาโดยตลอดนั้น สืบเนื่องจากกรณีที่กลุ่มติดตามการปฏิรูปการเมืองและต่อต้านการคอรัปชั่น นำโดยนายวันชัย จงจรูญหิรัณย์ ประธานกลุ่ม พร้อมสมาชิกกว่า 50 คน ได้นำหนังสือเข้าร้องเรียนต่อนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รมว.ยุติธรรม และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน 2551 เพื่อให้ตรวจสอบพฤติกรรมของ คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ที่ส่อว่าจะร่ำรวยผิดปกติ ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้รับเรื่องร้องเรียนดังกล่าวไว้ เพื่อตรวจสอบหาข้อเท็จจริง จนทำให้มีการพบถึงความผิดปกติอีกมากมาย
โดยประเด็นสำคัญอยู่ที่ “กรณีการสร้างคฤหาสน์มูลค่า 50 ล้านบาท” ในจ.นนทบุรี
ถึงแม้ว่าคุณหญิงจารุวรรณ จะออกมาให้การปฏิเสธว่า มูลค่าของตัวบ้านร่วมทั้งที่ดินราคาเพียง 4 ล้านบาทเท่านั้น แต่ไม่เพียงข้อแก้ต่างจะไม่ได้รับการเชื่อถือจากหลายๆ ฝ่าย
จนมีความพยายามสาวไปให้ถึงเรื่องเงินกู้ตามที่มีการกล่าวอ้าง และบริษัทผู้รับเหมานั้น ยังทำให้สาววไปสู่ข้อสงสัยเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นการซื้อที่ดินของลูกชาย และการโอนที่ดินให้น้องสาวในบริเวณใกล้ๆ กัน
อีกทั้ง การซื้อที่ดินของคุณหญิงจารุวรรณ ยังถูกตั้งข้อสังเกตุวส่าจะเป็นการปั่นราคาที่ดินของตัวเองให้มีมูลค่าที่สูงขึ้นหรือไม่ เพราะกลุ่ม PRAC ได้ตรวจสอบพบอีกว่าจะมีการก่อสร้างสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินแห่งใหม่ ในบริเวณใกล้เคียงคฤหาสน์และที่ดินดังกล่าว
หรือจะเป็นการฟอกเงินอย่างใดอย่างหนึ่งหรือไม่ เพราะมีการแจ้งราคาซื้อขายที่ดิน ตลอดจนมูลค่าก่อสร้างต่ำกว่าความเป็นจริงจนน่าสงสัย
อย่างไรก็ดีหลบังมีการตรวจสอบอย่างเข้มข้นก็ปรากฎว่า คฤหาสน์หลังงามถูกลอบวางเพลิง นยามวิกาลโดยไม่มีใครเหฌนแม้ว่าจะมีช่างนอนเฝ้าอยู่ที่บ้านเป็นประจำ และสุดท้ายคุณหญิงจารุวรรณ ก็ออกมาให้สัมภาษณ์ในทำนองสงสัยกลุ่มที่กำลังมีการตรวจสอบความไม่ชอบมาพากลของคฤหาสน์หลังดังกล่าว
เรื่องราวของคุณหญิงจารุวรรณ ที่ถูกตั้งข้อสงสัยยังมีอีกมากมายหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการส่อฮั้วจัดจ้างบริษัท ออดิต แมเนจเม้นท์ แอนด์ คอนซัลแตนท์ ผูกขาดจัดอบรม โดยพบว่าเจ้าของบริษัทเป็นคนคุ้นเคยกับคุณหญิงจารุวรรณ แถมยังเช่าตึกจากสามีคุณหญิงทำสำนักงาน
การจัดทัวร์ไปดูงานต่างประเทศก็ถูกกล่าวหาว่ามีการผูกขาดจากบริษัทคนคุ้นเคยอีกเช่นกัน และยังมีเรื่องการพาครอบครัวไปต่างประเทศด้วยงบราชการ
ทั้งหมดนั้นมีการร้องเรียนต่อ ป.ป.ช.แต่เรื่องราวก็ยังเงียบหาย ราวกับจงใจจะให้เรื่องเงียบไปดื้อๆ จนมีคนเอาไปนินทาและกล่าวหาถึงความโยงใยกับกลุ่มเผด็จการปละกลุ่มนอกกฎหมาย
วันนี้มีรัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คงจะต้องเข้ามาสะสางดูแลเสียให้เรียบร้อย เหมือนที่รับปากว่าจะใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียม เสมอภาค และจะได้เป็นการพิสูจน์ตัวเองด้วยว่าไม่ได้ไปเป็นพวกเดียวกับเขาด้วย
เด้ง “เสรีพิศุทธิ์”
เซ่น 4 ข้อกลาวหาฉาว
“ประชาทรรศน์” ได้นำเสนอเรื่องราวไม่ชอบมาพากลของ พล.ต.อ.เสรีพิศิทธ์ เตมียาเวส ในขณะเป็นผบ.ตร. อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการจัดซื้อจักรยานยนต์ตำรวจ 1.2 พันล้านบาท โครงการเช่ารถยนต์ตำรวจมูลค่าเฉียดหมื่นล้านบาท การสั่งการโดยใช้ถ้อยคำที่มิบังควรและไม่เหมาะสมในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด การออกคำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจระดับพันตำรวจเอก ตำแหน่งผู้กำกับการ โดยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ฯลฯ
ซึ่งต่อมาเป็นผลให้นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ลงนามในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่73/2551 ให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ออกจากราชการไว้ก่อน หลังจากที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยร้ายแรง 3 กรณีคือ 1.เช่ารถยนต์ตำรวจมูลค่าเฉียดหมื่นล้านบาทไม่โปร่งใส 2.สั่งการโดยใช้ถ้อยคำที่มิบังควรและไม่เหมาะสมในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด และ 3.การออกคำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจระดับพันตำรวจเอก ตำแหน่งผู้กำกับการ ในสังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และกองบังคับการต่างๆ โดยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
รวมไปถึงการมีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรึที่ 71/2551 ในเวลาต่อมาให้มีการตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ถูกร้องเรียนและกล่าวหาว่าได้กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงอีก 4 กรณีด้วยกัน ประกอบไปด้วย
1.กรณีกล่าวหามีการทุจริตเงินงบประมาณที่ใช้ในการสืบสวนสอบสวนในการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด ในโครงการรับซื้อลำไย ปี 2547 ซึ่งมีการจัดทำเอกสารอันเป็นเท็จ โดยใช้ชื่อ และปลอมลายมือชื่อในการเบิกเงินค่าใช้จ่าย ในการเดินทางไปราชการ
2.กรณีกล่าวหาว่ามีการทุจริตจัดซื้อรถจักรยานยนต์ตามโครงการจัดซื้อรถจักรยานยนต์สายตรวจ ขนาด 200 ซีซี พร้อมอุปกรณ์ (ทดแทน) จำนวน 19,147 คัน
3.กรณีกล่าวหาว่ารีสอร์ตภูไพรธารน้ำ ของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ซึ่งตั้งอยู่ ต.ท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี มีการถมหินขนาดใหญ่ ขนาดเล็ก ดิน กรวด ทรายจำนวนมาก ล่วงล้ำเข้าไปในแม่น้ำแควน้อย แล้วยึดถือครองที่บุกรุกแม่น้ำแควน้อยดังกล่าว
4.กรณีกล่าวหาว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์สั่งการให้กองบินตำรวจจัดเฮลิคอปเตอร์ ทั้งแบบเบลล์และแบบยูโรคอปเตอร์อีซี ที่ใช้สนับสนุนภารกิจ ผบ.ตร. เพื่อใช้เดินทางไปพักผ่อน และดูแลกิจการรีสอร์ตภูไพรธารน้ำ เป็นการส่วนตัวในวันหยุดราชการ
นอกจากนี้ยังมีข้อสงสัยในเรื่องของการจัดซื้อเครื่องผลิตไบโอดีเซลในราคาสูงเกินจริงถึง 3 เท่า การสร้างท่าเทียบเรือรุกล้ำแม่น้ำเจ้าพระยาในที่ดินย่านบางกระบือ
เรื่องนี้น่าจะมีการสอบสวนเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่อาจจะเงียบหายไปเพราะเปลี่ยนรัฐบาลบ่อย ฝากรัฐบาลประชาธิปัตย์ช่วยรับเรื่องมาดูต่อสักหน่อย เชื่อว่าความเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์จของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ คงไม่มีผลต่อรูปคดี
“กริบเพน”1.9หมื่นล้าน
สเปกต่ำ-เร่งรีบ-ราคาแพง?
อีกหนึ่งข่าวเด่นที่ “ประชาทรรศน์” ได้รับความไว้วางใจจากประชาชน ร้องเรียนเข้ามาให้ตรวจสอบความผิดปกติของการจัดซื้อเครื่องบินรบ “กริบเฟน” ในสมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ในห้วงหลังการยึดอำนาจ 19 กันยายน 2549 ที่มี พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข เป็นผู้บัญชาการทหารอากาศ
ซึ่งจากตรวจสอบความผิดปกติดังกล่าวพบว่า นอกจากเข้าข่ายขัด ม.190 ยังส่อพบความไม่ชอบมาพากลอีกเพียบ ทั้งเรื่องของงบประมาณ 1.9 หมื่นล้านที่สูงผิดปกติ จนมีการตั้งข้อสังเกตุเงินอีก 5.2 พันล้านหายไปไหน แถมยังรีบเร่งจัดซื้อโดยไม่มีแผนล่วงหน้า ต้องตัดงบสวัสดิการที่อยู่อาศัยทหารผู้น้อย มาเป็นงบฯเริ่มต้น มัดมือชกให้ตั้งงบผูกพันถึง 5 ปี แถมมีการแอบโยกงบประมาณโดยยังไม่ผ่านสภา
ขณะที่การเซ็นต์สัญญายังเป็นไปด้วยความรวดเร็วแบบสายฟ้าแลบ อีกทั้ง มีตั้งกรรมการจัดซื้อกระทำกันเพียงไม่กี่วัน ผบ.ทอ. ก็แจ้นลงนามจัดซื้อถึง กรุงสตอล์กโฮล์ ประเทศสวีเดน
ข้อสำคัญในด้านการขึ้นบินและการตรวจซ่อมบำรุง ยังมีค่าใช้จ่ายแพงหูฉี่ ซ้ำร้าย สเปกของเครื่องยังไม่เป็นที่ยอมรับในวงการทหารระดับสากล
ซึ่งภายหลังจากที่มีขุดคุยสาวลึกลงยังตรวจพบข้อพิรุธ ที่ กองทัพอากาศอีกคือ การจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษระบบเรดาห์ ที่มีราคาสูงถึง 1 พันล้านบาท ที่ จังหวัดกาญจนบุรี โดยพบเอกสารที่ส่งให้พิจารณาไม่เหมือนกับชุดที่ใช้ทำสัญญาจ้าง แถมยังส่อว่าจะมีการงุบงิบเปลี่ยนแปลงข้อความในเอกสารสัญญา ซึ่งส่อเจตนาเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชน รวมถึงการตั้งงบบูรณาการฯ เกินจริงถึง 2 เท่า
อีกทั้ง ภายหลังจากที่มีการนำเสนอข่าวไปซักระยะ ทีมข่าว “ประชาทรรศน์”ยังได้รับข้อมูลร้องเรียนจากชาวบ้านเพิ่มเติมว่า มีการก่อสร้างคฤหาสน์หรูมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท ใกล้ถนนใหญ่ย่านงามวงศ์วาน บนเนื้อที่กว่าไร่ ซึ่งมีการตั้งข้อสงสัยว่า อาจจะเป็นของ พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข
เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เป็นข่าวร้อนๆ แต่ไม่รู้ว่ารัฐบาลจะกล้าดำเนินการตรวจสอบหรือไม่ โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวพันกับกองทัพ ผิดถูกอย่างไรก็ออกมาแจงกันใกห้กระจ่างจะดีกว่า
ฮั้วพิมพ์บัตรเลือกตั้ง
ข้อสงสัยที่ยังรอคำตอบ
เป็นอีกหนึ่งประเด็นฉาวขององค์กรอิสระ ที่ถูกตรวจสอบพบว่ามีการทุจริตในขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้างการพิมพ์บัตรเลือกตั้ง โดย “ประชาทรรศน์”ได้เฝ้าติดตามความคืบหน้า แบบชนิดที่เรียกว่า “ไม่ละสายตา” ซึ่งเหตุสืบเนื่องมาจาก พล.ต.ต.เสวก ปิ่นสินชัย อดีตผู้บังคับการตำรวจป่าไม้ และเจ้าของค่ายมวยชื่อดัง เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2551 ให้ดำเนินคดีกับ นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กับพวก
ในความผิดเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และความผิดว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ กรณีการจัดจ้างบริษัทพิมพ์บัตรเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 23 ธันวาคม 2550 และการทุจริตการเลือกตั้ง โดยได้มอบหลักฐานหลาบยรายการ
ซึ่งภายหลังจากการตรวจสอบเอกสารที่มีการร้องเรียน และการลงพื้นที่ไปสอบข้อเท็จจริงอย่างต่อเนื่อง จนดีเอสไอ มีผลสรุปออกมาชี้ชัดว่าคดีมีมูลที่เชื่อถือได้ จึงได้ทำการตรวจสอบและประสานขอเอกสารข้อมูล แต่ก็ถูก กกต.เล่นแง่อยู่พักใหญ่ กว่าที่จะทางกกต.จะให้เอกสารกับทางดีเอสไอ ทำให้การตรวจกินเวลาออกไปอีกหลายเดือน
เรื่องนี้รัฐบาลต้องรีบเข้าไปดูแลเพราะมีข้อสงัสยทั้งการฮั้วจัดจ้างที่ 2 บริษัทมีการเสนอราคาไข้วกันอย่างน่าสงสัย และยังมีเรื่องของจำนวนบัตรเกินที่ยังชี้แจงไม่ได้ ที่สำคัญมีคนกล่าวหาว่าไปเกี่ยวพันกับการที่พรรคประชาธิปัตย์ได้คะแนนเสียงใน กทม. ท่วมท้นเสียด้วย
รถเมล์ด่วนพิเศษBRT
คดีร้อนที่กรุงเทพมหานคร
มาถึงเรื่องเด่นประเด็นสุดท้ายของ “ประชาทรรศน์” กับการเฝ้าจับผิดวงการคอรัปชั่นของข้าราชการที่กินเงินภาษีของประชาชน เป็นกรณีที่มีการพูดถึงมากในวงสังคมไม่แพ้เรื่องอื่น ๆ ก็คือ โครงการฉาวจัดซื้อรถเมล์ด่วนพิเศษ (BRT) ซึ่งสืบเนื่องมาจากกรณีที่คุณหญิงณฐนนท ทวีสิน อดีตปลัดกรุงเทพมหานครเข้าร้องเรียนและยื่นเอกสารหลักฐาน ให้ดีเอสไอตรวจสอบความไม่โปร่งใสของโครงการประกวดราคาจัดซื้อรถโดยสารประจำทางด่วนพิเศษ ของกทม. จำนวน 45 คัน เป็นเงินกว่า 300 ล้านบาท
โดยรถเมล์ดังกล่าวเป็นโครงการในยุคนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่าฯ กทม.คนดังที่ถูก ป.ป.ช.ตัดสินว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีฉาวอีกเรื่องของกทม.นั้นก็คือ การจัดซื้อรถ-เรือดับเพลิง
ประเด็นดังกล่าว กทม.ได้ชิงเรียกตัวผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าสอบสวนตัดหน้า กรมสอบสวน คดีพิเศษ ส่อจะเป็นการฟอกความผิดให้ใครบางคน แต่ก็ต้องผิดหวังเนื่องจาก ดีเอสไอยืนยันว่าเรื่องดังกล่าวอยู่ขอข่ายอำนาจการสอบสวนของดีเอสไอ และจะดำเนินการตรวจสอบเองเพื่อความถูกต้องของขั้นตอน
โดยขณะนี้ความคืบหน้าล่าสุด ที่ทีมข่าว “ประชาทรรศน์”ได้รับการเปิดเผยจาก พ.ต.ต.ประเวศน์ มูลประมุข พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวน ได้ดำเนินการร้องขอให้ทาง กทม.ส่งเอกสารเกี่ยวกับจัดซื้อจัดจ้างทั้งหมดมาให้ตรวจสอบ
และจากที่พิจารณาของเอกสารบางส่วนที่ได้รับขั้นต้นทำให้ สามารถเชื่อได้ว่า นายอภิรักษ์ มีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการฉาวแบบเต็มประตู
คดีดังกล่าวอยู่ในขั้นตอนของการเรียกตัว ผู้บริหารเข้ามาให้ปากคำเป็นข้อมูลหลักฐาน และคงในอีกไม่ช้า นายอภิรักษ์ คงอาจจะเป็นรายต่อที่ต้องถูกสอบปาดคำ
เมื่อถึงเวลานั้น...สัญญาได้เลยว่า “ประชาทรรศน์” จะตามติดรายงานความกระจ่างทั้งหมดให้ได้รับรู้กันอีกครั้ง และเป็นอีกเรื่องสำคัญที่ต้องฝากถึงรัฐบาล เพราะคดีนี้เป็นอีกเรื่องที่มีคนพยายามกล่าวหาว่าพรรคประชาธิปัตย์มีส่วนรู้เห็น เพราะนายอภิรักษ์เป็นคนของพรรค