ที่มา มติชนออนไลน์
โดย ชฎา ไอยคุปต์
นับตั้งแต่เหตุการณ์ นองเลือด 7 ตุลาคม 2551 เป็นวันที่รัฐบาลนำโดยนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคพลังประชาชน ตะลุยกลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยเจ้าหน้าที่ยิงแก๊สน้ำตาสลายผู้ชุมนุม เพื่อเปิดทางให้สมาชิกรัฐสภาเข้าแถลงนโยบายรัฐบาลต่อที่ประชุม ในครั้งนี้ฝ่ายค้านซึ่งมี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เป็นหัวหน้าฝ่ายค้าน ที่มีมติไม่เข้าร่วมประชุมเพราะไม่อยากเหยียบผ่านกองเลือด
ในขณะนั้นด้านนอกอาคารรัฐสภาที่ถูกสลายด้วยแก๊สน้ำตาเริ่มกลับมาชุมนุมอีกครั้ง เสื้อเหลืองปิดล้อมประตูรัฐสภาอีกครั้งระดมยิงลูกแก้วเข้ามาภายในทำให้ นายสมชาย ต้องเร่งสปีดแถลงนโยบายให้เสร็จสิ้นเร็วที่สุด
เหตุการณ์นั้นผ่านไปเพียง 84 วัน เหตุการณ์นั้นกลับเกิดขึ้นอีกครั้ง หลังจากประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ชื่อ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" พลิกจากฝ่ายค้านมาเป็นรัฐบาล มีกำหนดเข้าแถลงนโยบายวันที่ 29-30 ธันวาคม แต่ต้องเจอชะตาเดียวกันกับพรรคพลังประชาชนซึ่งถูกยุบพรรคย้ายเข้าพรรคเพื่อไทย ถูกกลุ่มคนเสื้อแดงและกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ปิดล้อมทางเข้าออกอาคารรัฐสภาเช่นเดียวกับพันธมิตรฯ
ท่ามกลางวิกฤตกลุ่มม็อบที่กดดันและบีบ ยื่นเงื่อนไขนายกฯต้องลาออกหรือยุบสภาที่ทั้ง 2 รัฐบาลเจอเหมือนกันแต่วิธีจัดการกับกลุ่มผู้ชุมนุมต่างกัน รัฐบาลสมชาย ใช้วิธีแหวกฝูงชนเข้าประชุมสภา ส่วนรัฐบาลอภิสิทธิ์ เห็นตัวอย่างรัฐบาลสมชาย เปิดทางเข้าสภาไม่เวิร์ก ครั้นจะเดินเท้าเข้าไปตามคำเชิญชวนเสื้อแดงก็หวั่นไม่ปลอดภัย จึงพลิกสถานการณ์หลอกล่อวนเวียนรอบๆม็อบก่อนแวะมาจอดป้ายกระทรวงการต่างประเทศ เรียก ส.ส.และส.ว.เข้าร่วมประชุมทั้งหมด 330 เสียง ได้ในเวลา 1 ชั่วโมง การย้ายที่ประชุมเป็นเหตุให้พรรคฝ่ายค้านอ้างว่าผิดข้อบังคับ
คำนวณเวลาอภิปรายด่วนจี๋ทั้งคู่ รัฐบาลอภิสิทธิ์ ใช้เวลาน้อยกว่ารัฐบาลสมชาย ครึ่งชั่วโมง "อภิสิทธิ์" เริ่มต้นอ่านนโยบาย 36 หน้าภายในเวลา 50 นาที รวมกับ 3 ส.ว.ที่ร่วมอภิปราย กินเวลาทั้งสิ้น 2 ชั่วโมง ท่าทางการแถลงเงยหน้าขึ้นมามองกล้องบ้าง ส่วนอดีตนายกฯสมชาย นั้นก้มหน้าก้มตาอ่านเร่งสปีดพร้อมกระดกน้ำดื่มเพราะน้ำลายแห้งไหลไม่ทันกับการอ่านฉบับไฟแล่บ คอแหบคอแห้ง อ่านข้ามไปหลายย่อหน้า ใช้เวลาทั้งหมด 2 ชั่วโมงครึ่ง
ระหว่างที่อ่านนโยบายอยู่นั้น กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็พบว่าว่ากลุ่มผู้ชุมนุมได้ตีกรอบเข้ามาโอบรอบสถานที่แถลงนโยบายทั้ง 2 แห่ง สมัยรัฐบาลสมชาย เข้าอย่างไรก็ออกอย่างนั้น เจ้าหน้าที่ปราบจลาจลปะทะกับผู้ชุมนุมอีกรอบ ขบวนรถส.ส.ตั้งแถวรอจังหวะแต่ก็ยังออกไม่ทันทุกคัน บางคนต้องปีนรั้วหนีออกไป ส่วนนายกฯสมชายกับลูกสาวหลบไปนั่งเฮลิคอปเตอร์บินไปลงที่กองทัพไทย
รัฐบาลสมชายคงอยากเห็น ปู่ชัย (ชัย ชิดชอบ) กระโดดกำแพงหนีอีกรอบแต่ก็ต้องแห้ว เพราะรัฐบาลมาร์คออกจากกระทรวงการต่างประเทศโดยไม่ต้องปีนรั้ว เพราะม็อบเสื้อแดงถอยกลับไปในที่สุดตั้งแต่รัฐบาลแถลงเสร็จสิ้น แถมปู่ชัยยังพูดติดตลกให้ส.ส.-ส.ว.ได้ผ่อนคลายก่อนออกมาเผชิญกับม็อบตั้งฉายา "ฮิตาชิ" มอบให้กระทรวงการต่างประเทศว่า "รวดเร็วทันใจ" จัดห้องประชุมทันเวลา
แม้ว่าจะมีการปะทะกันก็มีบ้างก็เป็นเพียงเล็กน้อยที่เจ้าหน้าตำรวจช่วยผลักและดันม็อบเสื้อแดงให้ออกไปเพื่อเปิดประตู นายอภิสิทธิ์ ก็พาคณะรัฐมนตรี ส.ส.ขึ้นรถตู้สำนักงานตำรวจแห่งชาติกว่า 10 คัน กลับที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์อย่างปลอดภัยและความโล่งใจของทุกฝ่าย และยังโชว์สปริตเอาใจพรรคร่วมให้ออกไปก่อนส่วนรถปชป.ออกเป็นขบวนสุดท้าย
ในปีเดียวมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดและไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์การเมืองไทยก็มีให้เห็นในปี 51 ตรงกับปี "ชวด" ที่ใครหลายๆคนพลอยชวดไปตามชื่อปี นั่งเก้าอี้ไม่ทันร้อนก็ต้องลุกให้คนอื่นนั่งสับเปลี่ยนกันถึง 4 รอบ
หวังว่าปีหน้าฟ้าใหม่คงไม่เห็นความทุกลักทุเลของฝ่าย "บริหาร-นิติบัญญัติ-ตุลาการ" ถูกหมิ่นเกียรติ-ศักดิ์ศรี ถูกปิดล้อมล้อมจนต้องปีนรั้วปลอมตัวหนีตายอลหม่านทั้งๆที่อายุอานามก็ใกล้และปลดเกษียณไปแล้วเกือบทั้งนั้น