WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Saturday, January 3, 2009

2 ขั้วชิงอำนาจ-ชาติบอบช้ำ!

ที่มา ไทยรัฐ

ท่ามกลางวิกฤติการเมืองไทยที่ก่อให้เกิดความแตกแยกรุนแรงใน หมู่ประชาชนครั้งประวัติศาสตร์ แบ่งสี เลือกข้าง ม็อบเต็มบ้านเต็มเมือง ทะเลาะกันมาราธอนข้ามปี

สิ่งหนึ่งที่แทรกเข้ามาในปรากฏการณ์ ก็คือคำว่า “การเมืองใหม่” ถูกโยนออกมาจากกลุ่มชนชั้นปกครอง และนักวิชาการผู้นำความคิดในสังคม

เพื่อนำไปสู่การเมืองในฝัน นัยว่าเป็นวิธีการสกัดวงจรอุบาทว์ที่นักเลือกตั้งซื้อเสียงเข้ามาทุจริต ถอนทุน กัดกินประเทศไทยไม่สิ้นสุด

จึงต้อง “ล้างน้ำ” กันครั้งใหญ่

แต่เอาเข้าจริงก็ยังไม่มีผู้อธิบายนิยามของคำว่า “การเมืองใหม่” ได้อย่างชัดเจน ยังคลุมเครือๆว่าแนวทางคืออะไร รูปแบบเป็นอย่างไร

ในมุมของม็อบพันธมิตรฯ ก็จ้องแบ่งโควตาผู้แทนราษฎร “เลือกตั้ง” กับ “ลากตั้ง” หรือในมุมของนักเลือกตั้งก็พยายามเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญเพื่อ ปฏิรูปการเมืองกันอีกยก

ยื้อเกม กั๊กอำนาจกัน

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ “การเมืองใหม่” ยังคงเป็นคำกล่าวลอยๆ นามธรรมมากกว่ารูปธรรม สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนเลย ก็คือ

ปรากฏการณ์แปลกพิสดารทางการเมือง ที่แทรกคิวเข้ามาให้เห็นตลอดช่วงปีที่ผ่านมา

เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ค่อยจะได้เห็นในสถานการณ์ปกติทั่วไป

และยังมีแนวโน้มที่อาจจะได้เห็นกันต่อไปอีกในปีนี้ หากวิกฤติการเมืองไทยยังไม่จบ.

ม็อบครองทำเนียบ

จากภาพในอดีตที่ชินหูชินตาของขาประจำอย่างกลุ่มผู้ชุมนุมสมัชชาคนจนฯ ที่เสร็จจากฤดูเก็บเกี่ยวก็จะขนพลขึ้นรถอีแต๋นจากภาคอีสาน มาปักหลักกางเต็นท์กินนอนกันบนถนนข้างคลองเปรมฯ เรียกร้องให้รัฐบาลช่วยแก้ไขปัญหาความยากจนดักดาน

เรียกขานกันว่า “ม็อบประจำฤดู”

หรือไม่ก็สลับคิวด้วยม็อบคนงานบริษัทห้างร้านที่ถูกเลิกจ้าง เจอเถ้าแก่เบี้ยวค่าแรง นัดรวมพลเดินขบวนประท้วงรัฐบาลให้ช่วยเจรจากับนายทุนโหด โดยอารมณ์อย่างเก่งก็ปิดประตูเข้าออกทำเนียบรัฐบาล

เย้วๆกันพอหอมปากหอมคอ

ใครจะคิดว่า วันหนึ่งพัฒนาการทางการเมืองไทยจะเดิน ทางมาถึงจุดที่ม็อบบุกยึดทำเนียบ รัฐบาลสัญลักษณ์ของฝ่ายบริหารประเทศ

จากปรากฏการณ์ที่ผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ นำโดย “มหาจำลอง” พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำม็อบ เปิดยุทธการดาวกระจายกดดันรัฐบาลของนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกฯ ด้วยการเคลื่อนพลบุกล้อมและยึดสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที กระทรวงการคลัง กองบัญชาการตำรวจนครบาล สถานที่ราชการสำคัญ ตั้งแต่เช้ามืดวันอังคารที่ 26 สิงหาคม 2551

ก่อนกรูกำลังเข้ายึดทำเนียบรัฐบาลแบบเบ็ดเสร็จ นายกฯและคณะรัฐมนตรีต้องระเห็จออกมาอยู่ข้างนอก

จากที่ทำงานของรัฐบาล สถานที่ประชุม ครม. กลายเป็นศูนย์กลางการชุมนุมของม็อบพันธมิตรฯ มีการตั้งเวทีปราศรัยขนาดใหญ่ กางเต็นท์เป็นที่พักถาวรให้กับกลุ่มผู้ชุมนุม

แค่นั้นไม่พอ ยังดัดแปลงพื้นที่สนามหน้าตึกไทยคู่ฟ้าฯ ที่ตกแต่งไว้อย่างสวยหรู ใช้เป็นแปลงทำนาปลูกข้าวจนโตออกรวง

และโดยบรรยากาศประวัติศาสตร์ที่หาไม่ได้ง่ายๆในชีวิตประชาชนคนธรรมดา คิวนี้คู่บ่าวสาวหลายคู่ที่พบรักในวงม็อบถือโอกาสจัดงานแต่งเป็นที่ครึกครื้นเฮฮา

ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ในอารมณ์ที่แค้นเคืองของนายสมัครต้องแก้ สถานการณ์ด้วยการนำคณะรัฐมนตรี ไปประชุม ครม.เร่ร่อนในเขตความคุ้มครองของทหาร ที่กองบัญชาการกองทัพไทย

และก็ไม่ได้กลับมาใช้ห้องทำงานที่ตึกไทยคู่ฟ้าอีกเลย จนถึงวันที่หลุดจากตำแหน่ง.

ทำกับข้าวตกเก้าอี้

พูดไปใครจะเชื่อ โทษฐานทำกับข้าวโชว์ถึงกับหลุดเก้าอี้นายกรัฐมนตรี แม้แต่สื่อฝรั่งระดับสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นยังออกแนวมุกตลก พาดหัวตีข่าวไปทั่วโลก “THAI P.M. GRILLED OVER TV. COOKING SHOW”

แปลเป็นไทย “นายกฯไทยถูกย่าง เหตุทำรายการอาหารโชว์ทางโทรทัศน์”

ใครก็รู้ว่านายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกฯ ชอบทำอาหารเป็นชีวิตจิตใจ ทั้งชีวิตขลุกอยู่ก้นครัว เป็นส่วนใหญ่ มีความสุขอยู่กับการจ่ายตลาด อยู่ในขั้นเซียนผู้ชำนาญการเมนูอาหารคาวหวาน

ช่ำชองถึงขนาดที่มีนายทุนเชิญให้เป็นกุ๊กกิตติมศักดิ์ เช่าเวลาให้จัดรายการ “ชิมไปบ่นไป” เรตติ้งติดอยู่ในระดับแถวหน้ารายการทำอาหารโชว์ทางโทรทัศน์ ดังมาก่อนที่จะเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วยซ้ำ แต่เข้าตำรา “หมองูตายเพราะงู”

ภายใต้เงื่อนไขการต่อสู้ทางการเมืองที่ตามล้างตามเช็ดกันแบบถอนรากถอนโคน ในฐานะนายกรัฐมนตรีที่หาญกล้าประกาศตัวว่าเป็น “นอมินี” อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร โดยไม่สนใครจะต้าน

เปิดคางเชิดหน้าล่อคู่ต่อสู้

หารู้ไม่ว่าโดนจ้องรวบโดยมือสอยโนเนมอย่างนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว. “ลากตั้ง” เด็กสร้างในสายของ “เจ๊เป็ด” คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าการ สตง. เดินหน้ายื่นเรื่องให้ กกต. ตรวจสอบคุณสมบัติของนายสมัครจัดรายการชิมไปบ่นไปในฐานะ “ลูกจ้าง” ขัดรัฐธรรมนูญ

โดยที่คนถูกร้องเองรวมไปถึงนักกฎหมายทั่วไปก็ไม่ค่อยได้ใส่ใจ เพราะมองว่าปมมันหยุมหยิมเกินไป ให้ราคาแค่มุกของคนอยากดัง

หยิบเอาเหลี่ยมกฎหมายมาเล่นกันพร่ำเพรื่อ

แต่อย่างว่า “กฎหมายดิ้นได้” อยู่ที่จะแปลความเข้าทางใคร

โดยเงื่อนไขรัฐธรรมนูญที่ก้ำกึ่งระหว่างคำว่า “ลูกจ้าง” กับ “รับจ้าง” สุดท้ายศาลรัฐธรรมนูญต้องอาศัยคำบัญญัติในพจนานุกรมประกอบคำวินิจฉัย ฟันธงนายสมัครเป็นพิธีกรรายการชิมไปบ่นไปถือเป็น “ลูกจ้าง” หลุดจากเก้าอี้นายกฯ

พ่อครัวตายเพราะตะหลิว.

โดดกำแพงหนีสภา

ที่ผ่านมาเคยได้ยินแต่ ส.ส.โดดร่มประชุมสภาฯ สื่อมวลชนโดยเฉพาะหนังสือพิมพ์ใช้เป็นคำอุปมาผู้แทนราษฎรขี้เกียจ ไม่รับผิดชอบต่อประชาชน ไม่สนใจงานในหน้าที่ แต่ใครจะคิดว่าวันหนึ่งจะเกิดเหตุการณ์ที่ ส.ส.ต้องโดดกำแพงสภา ทั้งปีนทั้งโดดกันจริงๆ

เป็นเหตุการณ์ฝ่าวงล้อมม็อบหนีตาย โดยนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นคนนำทีมรัฐมนตรี ส.ส. และข้าราชการ ปีนกำแพงรัฐสภาด้านติดกับพระที่นั่งวิมานเมฆ เป็นเส้นทางหนีม็อบพันธมิตรฯ ที่ปิดล้อมทางเข้าออกประตูรัฐสภา ขวางไม่ให้รัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภา

สถานการณ์ตึงเครียดถึงขั้นนองเลือด

โดยที่ก่อนหน้าก็เป็นนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น พร้อม น.ส. ชินณิชา วงศ์สวัสดิ์ บุตรสาวสุดที่รัก และทีมงานใกล้ชิด เป็นหน่วยหน้าทีมแรกที่ปีนกำแพงรัฐสภาหนีม็อบออกด้านหลังก่อนแล้ว เผ่นกันน้ำบาน

แค่นึกภาพท่านผู้ทรงเกียรติไล่ไปตั้งแต่นายกฯ รัฐมนตรี ส.ส. ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ต้องถอดสูท ปลดเนกไท ถอดรองเท้า ยักแย่ยักยันปีนกำแพง หนีตาย ทุลักทุเลพิลึก

นับเป็นความปั่นป่วนต่อเนื่อง จากคิววุ่นๆภายหลังนายสมัคร สุนทรเวช ต้องตกเก้าอี้นายกฯ เพราะคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ต้องโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในสภาฯกันใหม่ และจุดป่วนก็เริ่มมาจากพรรคพลังประชาชนแกนนำรัฐบาลที่เปิดเกมหักกันเอง

ซึ่งปกติการเลือกนายกรัฐมนตรีจะต้องตกลงกันล่วงหน้า แต่การรีเทิร์นของนายสมัคร ภายใต้การกำกับของ “แก๊งออฟโฟร์” ที่มีนายเนวิน ชิดชอบ เป็นโต้โผใหญ่ ถูกขวางโดย “สายเลือดแท้นายใหญ่” ที่นำโดยนายยงยุทธ ติยะไพรัช และ “เจ๊แดง” นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ นำทีม

ดึงเกมจนสภาฯล่ม โหวตเลือกนายกรัฐมนตรีไม่ได้

ยื้อจนสุดท้ายสามารถฉุดกระชากลากถูนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ แหกด่านเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี “นอมินีรุ่นสอง” ผจญกับวิบากกรรมสยองๆ.

นายกฯนอกทำเนียบ

ภายใต้ลูกฟลุกของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่จับพลัดจับผลูได้ก้าวขึ้นแท่นนายกรัฐมนตรีคนที่ 26 ของประเทศไทย ในสถานการณ์ “ปล้ำผีลุกปลุกผีนั่ง”

แต่ในความโชคดีก็แฝงไว้ด้วยทุกขลาภ ในสถานการณ์การต่อสู้ของสองขั้วอำนาจที่เร่งเกมหักดิบกันให้ได้ โดยความได้เปรียบของม็อบพันธมิตรฯ ที่ยึดทำเนียบรัฐบาลยาวมาตั้งแต่ช่วงของอดีตนายกฯ สมัคร ปักหลักอยู่โยงแบบมาราธอน โดยคำสั่งศาลแพ่งคุ้มครอง

รัฐบาลในฐานะเจ้าของสถานที่ได้แต่นั่งมองตาปริบๆ

ในขณะที่คณะรัฐมนตรีของนายสมชายต้องบากหน้าไปอาศัยห้องประชุมของ กองบัญชาการกองทัพไทย ถนนแจ้งวัฒนะ เป็นที่ประชุม ครม.เร่ร่อน

กลายสภาพเป็นรัฐบาลพลัดถิ่นยังไงยังงั้น

และก่อนที่จะอนาถาไปกว่านั้น นายสมชายได้สั่งให้ดัดแปลงอาคารสนามบินดอนเมืองเป็นห้องทำงานนายกรัฐมนตรี ห้องประชุม ครม. รวมถึงห้องแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน

รวมๆแล้วก็เรียกกันว่า ทำเนียบรัฐบาลชั่วคราว

กระนั้นก็ยังไม่วายโดนตามไปราวี สุดท้ายภายใต้ยุทธการ “ม้วนเดียวจบ” ของม็อบพันธมิตรฯ ก็เคลื่อนพลเข้ายึดทำเนียบรัฐบาลชั่วคราวสนามบินดอนเมือง และยังตามไปปิดล้อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเป้าหมายแรกคือขวางไม่ให้ นายสมชายที่เดินทางไปประชุมเอเปคที่ประเทศเปรูกลับเข้าประเทศไทย

นายสมชายต้องบินไปลงที่บ้านเกิดเมียจังหวัดเชียงใหม่ และใช้ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่เป็นที่ประชุม ครม. ถูกสื่อกระเซ้าว่าเป็น “ทำเนียบรัฐบาลไทยเหนือ”

แต่ทั้งหมดทั้งปวงเลยในห้วงระยะเวลาในการดำรงตำแหน่งสั้นๆ 2 เดือนกว่า ชื่อของ “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” ต้องถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย ในฐานะนายกฯ ที่ไม่เคยได้เข้าไปนั่งทำงานที่ตึกไทยคู่ฟ้าทำเนียบรัฐบาล

วาสนาน้อยกว่าเด็กบางคนที่เคยได้นั่งเก้าอี้นายกฯ ในวันเด็กซะอีก.

แฟมิลี่แมนหย่าเมีย

ย้อนกลับไปดูภาพเก่าๆในอดีตที่ยิ่งใหญ่ ครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูก “พานทองแท้-พินทองทา-แพทองธาร” ใครจะคาดคิดว่า “แฟมิลี่แมน” อย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ขึ้นชื่อในเรื่องรักลูก

เป็นโรค “เกลียมัว” กลัวเมียระดับแถวหน้าคนหนึ่งของวงการ

จะมีวันที่เซอร์ไพรส์เป็นพาดหัวข่าวยักษ์หนังสือพิมพ์ “ทักษิณหย่าเมีย”

อดีตนายกฯทักษิณจูงมือคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา ไปจดทะเบียนหย่ากันที่สถานกงสุลไทย ประจำฮ่องกง ยุติชีวิตคู่ที่ครองเรือนกันมานานกว่า 30 ปี

ในสถานการณ์เคราะห์ซ้ำกรรมซัด บ้านแตกทั้งๆที่กำลังระเหเร่ร่อนอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ทางการประเทศอังกฤษสั่งถอนวีซ่าห้ามเดินทางเข้าแดนผู้ดี

แต่ประเมินกันอีกที มันก็เป็นอะไรที่มีเหตุให้เอะใจ เบื้องหลังการหย่าช็อกวงการเป็นไปอย่างที่อ้างกันอย่างเป็นทางการว่า คุณหญิงพจมานสุดทนกับชีวิตที่ต้องเผชิญวิบากกรรมต่อสู้ทางการเมือง ห้าม “ทักษิณ” ให้หยุดแล้ว แต่สามีไม่ยอมเชื่อฟัง เลยต้องแยกทางใครทางมัน

หรืออีกมุมหนึ่งฝ่ายตรงข้ามก็ตั้งแง่สงสัย เป็นแค่หย่าทางการเมือง ยุทธศาสตร์ทางกฎหมายในการต่อสู้เพื่อทวงคืนอภิมหาขุมทรัพย์เจ็ดหมื่นกว่าล้านบาทที่ถูกยึดไว้

ซึ่งก็เป็นอะไรที่เข้าเค้า เพราะก่อนหน้านั้นมีลูกน้องสายตรงเดินทางไปเยี่ยมนายใหญ่กับนายหญิง กลับมาส่งข่าวที่เมืองไทย สองผัวเมียเดินกอดคลอเคลียกันไม่ห่าง ต่างฝ่ายต่างให้กำลังใจที่ต้องเผชิญชะตากรรมโหดร่วมกัน

แต่ไม่กี่วันจากนั้นก็มีข่าว “ช็อก” อดีตนายกฯทักษิณหย่ากับคุณหญิงพจมาน

และไม่ว่าเบื้องหลังจริงๆคืออะไร ที่แน่ๆคุณหญิงพจมาน บินกลับเมืองไทยมาเปลี่ยนบัตรประชาชนใหม่ในชื่อ “พจมาน ดามาพงศ์” เป็นที่เรียบร้อย

อย่างน้อยๆก็พูดได้ว่า “การเมือง” ทำบ้านแตก.

'ห้อย'ส่ง 'มาร์ค'ถึงฝัน

โดยคำปรามาสกันถึงขนาดที่ว่า “รอหิมะตกประเทศไทย” หนุ่มน้อยหน้ามนอย่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ถึงจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ใครจะคิดว่า อิทธิฤทธิ์ของ “พ่อมดเขมร” จะเสกอะไรก็ได้

กับปฏิบัติการสะท้านสะเทือน “ก๊วนเพื่อนเนวิน” ทรยศนายใหญ่ พลิกขั้วแบบ 180 องศา จาก “ไอ้ห้อยไอ้โหน” ที่มีบทบาทอยู่เบื้องหลังเกมฮาร์ดคอร์ของกองกำลัง “ทักษิณ”

“เนวิน ชิดชอบ” กอดกันกลมกับ “อภิสิทธิ์” ในฉากหวานชื่นไปด้วยช่อดอกกุหลาบสีแดง

พ่อมดเขมรทำได้ ภายใต้การช่วยลุ้นตัวโก่งของ “สีเขียว” ตามธงของม็อบพันธมิตรฯ “สีเหลือง”

โดยสถานการณ์เปิดให้เขย่าติ้วกันใหม่ ภายหลังนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ต้องหลุดเก้าอี้นายกฯ เพราะผลพวงจากคดียุบพรรคพลังประชาชน

ปิดฉากนอมินีแถวสอง

และก็เป็นเครือข่ายนายใหญ่ที่เดินเกมดัน “นอมินีแถวสาม” ยื้ออำนาจ โดยไม่สนใจว่าหน้าตาจะเป็นอย่างไร นั่นก็เป็นเหตุให้แคนดิเดตเปิดหน้ากันออกมาไล่ตั้งแต่ “สารวัตรเหลิม” ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง นายสันติ พร้อมพัฒน์ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ไปยัน “เสธ.หนั่น” พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์

ไม่เว้นแม้กระทั่งเจ้าของฉายาไดโนเสาร์อย่าง “ป๋าเหนาะ” นายเสนาะ เทียนทอง ก็มีชื่อติดโผแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ของประเทศไทย ในอารมณ์ที่ตาสี ตาสา ใครก็เป็นนายกรัฐมนตรีได้

ในสถานการณ์ที่ภาคเอกชน ประชาชนทั่วไป ยังไม่หายขวัญผวาจากยุทธการม้วนเดียวจบของม็อบพันธมิตรฯ บุกปิดล้อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ยึดสนามบินดอนเมือง สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจมหาศาล โดยที่รัฐบาลนอมินี “นายใหญ่” ได้แต่มองตาปริบๆ ถ้าได้นอมินีนายใหญ่กลับมาเป็นรัฐบาลปัญหาก็ไม่จบ

นั่นคือเหตุที่เอื้อ “อภิสิทธิ์” ถึงฝั่งฝัน โดยไม่ต้องรอหิมะตก.

“ทีมการเมือง”