ที่มา บางกอกทูเดย์ ประชานิยม ปชป. ก็แค่ ลับ ลวง พราง!! อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกีฬา หรือเรื่องใดๆ ก็ตาม แม้แต่กระทั่งเรื่องการเมือง วันนี้ (6 ก.ค.) จะเป็นการตัดเชือกรอบรองระหว่าง ทีมอุรุกวัย กับ เนเธอร์แลนด์ ในขณะที่วันพรุ่งนี้ (7 ก.ค.) จะเป็นการชิงกันระหว่าง เยอรมัน กับ สเปน... ผู้ชนะของทั้ง 2 คู่ ก็คือคู่ชิงแชมป์ฟุตบอลโลกในปีนี้นั่นเอง ส่วนบรรดาทีมที่ตกรอบก็เผชิญชะตากรรมหนักเบาแล้วแต่มุมมองและแฟนบอลของแต่ละประเทศเอง... ยิ่งเต็ง ยิ่งถูกคาดหวังเอาไว้สูงยิ่งโดนหนัก อย่างเช่นทีมแซมบ้า บราซิล สำนักข่าวบีบีซี รายงานว่า ดุงก้า ที่มีชื่อเต็มๆ ว่า คาร์ลอส เคตาโน เบรดอร์น เวอร์รี่ โดนไล่ออกจากตำแหน่งกุนซือทีมชาติบราซิลเรียบร้อยแล้ว โดยสหพันธ์ฟุตบอลบราซิลได้ออกแถลงการณ์ยืนยันว่าดุงก้าและสตาฟฟ์โดนขับออกจากตำแหน่ง สภาพที่เกิดขึ้นกับวงการกีฬาในขณะนี้ ถือเป็นตัวอย่างที่ดี ที่อยากให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ผู้ที่ประกาศเลิกเชียร์ทีมใดทีมหนึ่งอีกแล้ว เพราะเชียร์ทีมไหน ทีมนั้นพังทุกที... บรรยากาศและสิ่งที่เกิดขึ้น นายอภิสิทธิ์ น่าจะนำไปย้อนคิดถึงทีมรัฐบาลอภิสิทธิ์ ว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการที่ ณ วันนี้ผ่านการสลายการชุมนุมที่สี่แยกราชประสงค์มาใกล้จะครบ 2 เดือนแล้ว แต่ดูเหมือนว่ารัฐบาลยังอยู่ได้อย่างหน้าชื่นตาบาน ภายใต้เปลือกคุ้มครองที่แข็งแรง คือ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่ก็อย่าได้ประมาทจนเกินไป เพราะวันนี้เสียงเรียกร้องให้ยกเลิก พ.ร.ก.มีมากขึ้นทุกที พร้อมกับการค้นหาความจริงเกี่ยวกับการเสียชีวิตของประชาชนในช่วงสลายการชุมนุมกว่า 80 ศพนั้น ดูเหมือนว่าจะหนักหน่วงมากขึ้นเรื่อยๆ นางสาวเกศสิณี แขวัฒนะ ประธานคณะกรรมาธิการการทหาร วุฒิสภา ถึงกับมีหนังสือด่วนที่สุด ที่ สว(กมธ2)0010/2773 ส่งไปตามสื่อต่างๆ โดยเฉพาะสื่อหนังสือพิมพ์ เพื่อขอข้อมูลภาพนิ่งพร้อมคำบรรยายเกี่ยวกับเหตุการณ์สลายการชุมนุม เพื่อนำไปตรวจสอบหาความจริง โดยเฉพาะหมิ่นเหม่อย่างยิ่งต่อเรื่องของการละเมิดสิทธิมนุษยชน!!! เป็นดังเช่นหลักการในพุทธศาสนา ที่สอนชาวพุทธมานานกว่า 2,500 ปีแล้วว่า กรรมดีส่วนกรรมดี กรรมชั่วส่วนกรรมชั่ว จะเอามาหักกลบลบล้างกันไม่ได้ ฉะนั้นจะเห็นว่าในระยะนี้ รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ โดนวิพากษ์วิจารณ์หนักขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุดก็คือการที่บรรดากลุ่มนักวิชาการออกมาคัดค้านการอัดประชานิยมลดแลกแจกแถม และแนวนโยบายรัฐสวัสดิการของนายอภิสิทธิ์ และทำให้นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ออกมาสะกิดเตือนตรงๆ ว่าสิ่งนี้สะท้อนถึงการที่นายกฯ รู้ว่าตัวเองอยู่ในฐานะที่ลำบากมาก เพราะถ้ามีการตรวจสอบข้อเท็จจริงกันจริงๆ จนรู้ว่าการปราบหรือสลายการชุมนุมขัดต่อหลักการของสหประชาชาติ ขัดต่อกฎหมายไทยเอง นายกฯ กับพวกก็อยู่ในฐานะลำบาก ถ้าปล่อยให้มีการพูดกันแต่เรื่องเหล่านี้มากโดยไม่หาเรื่องอื่นมาเบนความสนใจ ก็ไม่ได้ ก็เลยต้องหาเรื่องอื่นมาเบี่ยงเบน ขณะเดียวกันก็ทำทุกวิธีที่หวังว่าจะอยู่ในอำนาจต่อไป รวมทั้งจะชนะการเลือกตั้งคราวหน้าให้ได้ ก็เลยเอานโยบายลดแหลกแจกแถมดังกล่าวมาใช้โดยไม่ได้คำนึงว่าสอดคล้องกับนโยบายตัวเองหรือไม่ จะเป็นไปได้หรือไม่ และจะเป็นการส่งสัญญาณที่ผิดอย่างไร “นายกฯ รู้อยู่แก่ใจอยู่แล้ว รู้อย่างดีที่สุด เพราะเรียนเศรษฐศาสตร์มาด้วย ดังนั้นการไม่พูดถึงเรื่องการขยายหรือเพิ่มฐานภาษี แล้วมาบอกว่าบริการของรัฐจะไม่เก็บเงิน แต่กลับจะใช้จ่ายเงินของรัฐมากขึ้นเพื่อบริการประชาชน มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับประเทศที่มีรายได้น้อยอย่างประเทศไทย และใช้วีธีนี้มาดึงคะแนนเสียงจากประชาชนในชนบทที่เป็นจุดอ่อนของประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะทางภาคเหนือและอีสาน รัฐบาลจะดันทุรังอยู่ไปให้นานที่สุด แต่ในที่สุดคนก็จะเห็นความล้มเหลวในด้านต่างๆ ชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ” นายจาตุรนต์ กล่าว จะมองว่าพรรคฝ่ายค้านก็ต้องค้านไปเรื่อยก็ได้ ... แต่อย่าลืมว่า แม้กระทั่ง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งถือเป็นพวกเดียวกันเองกับนายอภิสิทธิ์ด้วยซ้ำ ยังระบุชัดเจนว่าแผนปรองดองของรัฐบาลเป็นแนวคิดที่ดี แต่คงเป็นเรื่องยากที่รัฐบาลจะทำให้สำเร็จภายใต้กรอบเวลาที่กำหนด เหล่านี้คือความจริงที่นายอภิสิทธิ์จะต้องยอมรับ และความจริงทั้งหมด ก็คือ สิ่งที่จะตัดสินอายุรัฐบาลและพรรคประชาธิปัตย์...
อนิจจา!! รัฐบาลอภิสิทธิ์ ระวังจะเป็นเหมือนทีมตกรอบบอลโลก เพราะถูกกระหน่ำหนักขึ้นทุกที วุฒิสภาถึงขึ้นขอภาพสลายการชุมนุม ขณะที่ จาตุรนต์เย้ย ประชานิยมเพียงเพื่อมุ่งกลบเกลื่อน
เพราะขณะนี้ 4 ทีมสุดท้ายที่เข้ารอบรองชนะเลิศฟุตบอลโลก 2010 ชัดเจนแล้วว่า ทีมเต็งทีมดังใช่ว่าจะต้องชนะเสมอไป
ไม่มีอะไรที่เที่ยงแท้แน่นอนเช่นกัน!!!
ไม่ว่ารัฐบาลจะมั่นใจสักเพียงใดว่า ทุกอย่างกระทำการตามอำนาจของ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่ในสายตาของประชาชน ของสังคม ของนักกฎหมายนั้น อำนาจจาก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน นั้นเป็นอำนาจพิเศษเฉพาะกาล ที่ไม่สอดคล้องกับหลักกฎหมายทั่วไป
ดังนั้นแม้ในขณะนี้ นายอภิสิทธิ์ จะเน้นในเรื่องของการสร้างความปรองดอง สร้างจุดขายในเรื่องนี้อย่างเต็มที่ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นคนละส่วนกันอยู่ดี กับกรณีการสลายการชุมนุมจนมีผู้เสียชีวิต
แต่นายกฯ ก็ต้องพูดเรื่องอย่างนี้ไว้ก่อน เพื่อหวังว่าจะซื้อใจประชาชนได้ ประชาชนคนไทยก็จะฉลาดพอที่จะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ เห็นชัดว่าเป็นการพูดเพื่อกลบเรื่องการละเมิดสิทธิเสรีภาพประชาชน การปราบปรามการชุมนุม
ที่สำคัญแม้แต่ มหาจำลองเองก็ยังเห็นว่า กระบวนการใต้ดินจะไม่เกิดขึ้นอีก หากรัฐบาลเร่งดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม ตั้งแต่เหตุการณ์เดือนเมษายน ปี 2552 หากรัฐบาลใช้กระบวนการยุติธรรม ความรุนแรงก็จะไม่บานปลาย จนมีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก
หาใช่ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน อย่างที่บางคนพยายามยื้อเอาไว้สุดฤทธิ์