ที่มา ประชาไท OMG! Oh My Gosh! ระบอบอภิสิทธิ์อนุมัติงบประมาณฟรีจากภาษีประชาชน 600 ล้านให้อานันท์-หมอประเวศ ไปตั้งสำนักงานปฏิรูปประเทศไทย ใช้เวลาการทำงาน 3 ปี ไม่ผิดไปจากที่ปรามาสไว้ ลัทธิประเวศศ์ศ์ศ์ สอนให้ชาวบ้านไม่ต้องพึ่งทุนนิยม แต่ทำอะไรต้องใช้เงินมหาศาล ถลุงงบประมาณยิ่งกว่าโครงการทีมชาติไทยไปบอลโลก (เซ็งเป็ดเลย กะจะเชียร์อาร์เจนตินาถล่มเยอรมันซักหน่อย ดันโผล่มาเชียร์ด้วย) สิ่งที่ผมติดใจคือ สำนักงานปฏิรูปประเทศไทย จะต้องเอาเงินไปทำอะไร ในเมื่อหน้าที่ของอานันท์ ประเวศ คือออกพิมพ์เขียวแนวทางปฏิรูปไปให้รัฐบาล ซึ่งจะปฏิบัติตามหรือไม่ก็แล้วแต่ หมอประเวศทำงานมา 30 ปี จะเสนอแนวทางปฏิรูปประเทศทั้งที ทำไมต้องใช้เงินถึง 600 ล้านไปคิดวิเคราะห์ ปราชญ์อย่างท่านยังไม่ตกผลึกอีกหรือ ผมเชื่อว่าใช้เวลาเพียง 7 วัน หมอประเวศก็น่าจะเขียนออกมาได้เป็นข้อๆ ซัก 10-20 ข้อว่าควรจะปฏิรูปประเทศไทยอย่างไรบ้าง หรือว่าเงินภาษี 600 ล้านจะช่วยเนรมิตแนวคิดพิสดารบรรเจิดเลิศเลอ อย่างที่ไม่เคยพบเคยเห็นกันมาก่อนในสังคมไทย จะช่วยให้ลัทธิประเวศศ์ศ์ศ์บรรลุขั้นสกทาคามี (ปัจจุบันท่านคงบรรลุโสดาบันไปแร้ววว...) คิดฝันปั้นแต่งสิ่งวิเศษสุดสำหรับสังคมไทย ที่ไม่มีใครเคยคิดได้มาก่อน อ๊ะอ๊ะ แต่ถ้าเงิน 600 ล้านหมดแล้ว ได้ข้อสรุปออกมา 10-20 ข้อเหมือนคัดมาจากหนังสือหมอประเวศ ก็เตรียมตอบคำถามประชาชนเจ้าของเงินภาษีไว้ด้วยนะครับ แต่มองโลกในแง่ดีเข้าไว้ ก็อาจเป็นได้ว่าคณะกรรมการปฏิรูปประเทศไทยต้องการให้ประชาชนมีส่วนร่วม เพราะฉะนั้นก็จะต้องใช้งบประมาณ ระดมมวลชน NGO ในเครือข่าย สสส.พอช.มาร่วมฟังการเสวนา ที่มีวิทยากรเช่น อ.อคิน อ.ศรีศักดิ์ อ.ไพบูลย์ หมอพลเดช หมอชูชัย หมอวิชัย ประสาร มฤคพิทักษ์ ครูหยุย ครูแดง รสนา ผัวรสนา วิทยากร เชียงกูล ฯลฯ จากนั้นก็เปิดให้พูดคุยแลกเปลี่ยน แสดงความคิดเห็น โดยพูดอะไรที่เป็นพุทธปรัชญาเข้าไว้ ลอยๆ เข้าไว้ น้ำเสียงเนิบๆ เข้าไว้ ไม่รู้อะไรก็พอเพียงเข้าไว้ ซึ่งแน่นอนว่าต้องใช้งบประมาณค่าจัดประชุมค่าเบี้ยเลี้ยงค่าที่พักค่าเดินทาง แม้อาจจะไม่จัดเลี้ยงหัวละ 850 บาทเหมือนที่กระทรวงสาธารณสุขจัดประชุม อสม. แต่ลัทธิประเวศศ์ศ์ศ์ก็ต้องเดินได้ด้วยเงินเหมือนกันนะคร้าบ พูดๆๆๆๆๆ กันอยู่อย่างนี้ 3 ปี ผลการรวบรวมความคิดเห็นมวลชนก็จะออกมาไม่ต่างจากที่หมอประเวศเขียนออกมา 10-20 ข้อในเวลา 7 วัน เพียงแต่ประทับตรา “ประชาชนมีส่วนร่วม” (แบรนด์เนมเลยละ) อ้าว! ก็คุณตั้งวงกันเองมีส่วนร่วมกันเอง คนอื่นเขาไม่เข้าร่วม แล้วมันจะมีประเด็นของคนอื่นโผล่มาได้อย่างไรละครับ ผมเนี่ยนึกภาพออกเลยว่าจะต้องมีการจัดประชุมเสวนามวลชนแบบพวกเครือข่ายพลเมืองกรุงเทพฯ ของหมอพลเดช และภุชงค์ กนิษฐชาติ ที่พูดอะไรนิ่มๆ น่าฟัง แต่ไม่มีสาระนอกจากจะพยายามทำให้สังคมประนีประนอมโดยไม่แก้ไขรากเหง้าของปัญหา ถามว่าในเมื่อรู้แล้วว่าปั๊มแบรนด์เนม “ประชาชนมีส่วนร่วม” แล้วผลสรุปก็จะออกมาเหมือนเดิม ถ้าอย่างนั้นจะต้องทำทำไม ยังจำได้ไหม ตอนที่พี่เปี๊ยกกับ อ.พิชายเสนอโปรเจกท์ 100 ล้านของบ สสส.มาเคลื่อนไหวเสริมสร้างประชาธิปไตย คราวนั้นไม่ได้ แต่คราวนี้ได้มาเต็มๆ 3 ปี 600 ล้าน ในทางทฤษฎีการเคลื่อนไหวเขาเรียกว่าเป้าหมายยังไม่สำคัญเท่ากระบวนการ นั่นคือรู้อยู่แล้วว่าผลจะออกมาอย่างไร แต่กระบวนการเคลื่อนไหวจะช่วยสร้างเครือข่ายให้เข้มแข็ง ดึงมวลชนเข้ามาเป็นพวกของตัวได้มากขึ้น ฉะนั้น เงินภาษี 600 ล้านนี้ เป้าหมายที่แท้จริงก็คือ การสยายปีกของเครือข่ายลัทธิประเวศศ์ศ์ศ์ ที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง เพราะเขาจะเอาไปสร้างมวลชน สร้างองค์กร-ที่ไม่ใช่พันธมิตร เพราะไม่ได้มาทั้งหมด แต่มาเฉพาะเครือข่าย NGO ลัทธิประเวศศ์ศ์ศ์ (คือพวกพี่เปี๊ยกของผมนี่แหละ) ส่วนพวกสนธิ ASTV ฮาร์ดคอร์ ก็จะค่อยๆ หมดบทบาทกลายเป็นซากทางประวัติศาสตร์ไป หรือเป็นได้แค่ผู้สนับสนุน ที่น่าจับตาอย่างยิ่งก็คือ มันมีสัญญาณบ่งบอกว่าการสยายปีกครั้งนี้ของเครือข่ายลัทธิประเวศศ์ศ์ศ์ จะมุ่งไปที่ “ปฏิรูปการศึกษา” ฟังดูก็น่าจะดีนะครับ แต่อย่าลืมว่าลัทธิประเวศศ์ศ์ศ์ “สามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา” ไม่เคยทำอะไรฟรีๆ แค่เสนอความเห็นแล้วจบ มันมีความเป็นไปได้ว่าการ “ปฏิรูปประเทศไทย” จะนำไปสู่การตั้งองค์กรที่มาดูแลปฏิรูปการศึกษา โดยอยู่ภายใต้เครือข่ายลัทธิประเวศศ์ศ์ศ์ เปรียบเหมือน สสส.ภาคการศึกษา มีแหล่งที่มาของเงินทุนที่แน่นอน (ซึ่งน่าจะได้เงินมาจากการเก็บภาษี ร.ร.กวดวิชาเคมีครูอุ๊ แบบ สสส.ได้มาจากภาษีเหล้าบุหรี่ ฮิฮิ) คราวนี้แหละครับ หมอประเวศจะได้นอนตายตาหลับเสียที เพราะเครือข่ายลัทธิประเวศศ์ศ์ศ์ (โปรดสังเกตผมสะท้อนเสียง 3 ครั้ง) จะเข้าไปยึดครองงานด้านประชาสังคมทั้ง 3 ด้านนั่นคือ การศึกษา สาธารณสุข และงานพัฒนาชุมชน ผ่าน สสส. พอช. และองค์กรด้านการศึกษาที่จะตั้งขึ้นใหม่ โดยมีสาวกลัทธิประเวศศ์ศ์ศ์เข้าไปยึดครองอำนาจการบริหารทั้งหมด มีเงินให้ใช้จ่ายปีละนับหมื่นล้านหมุนเวียนสนับสนุนเครือข่ายของตัวเอง โดยรัฐบาลไหนมาก็แตะต้องไม่ได้ ไชโย ลัทธิประเวศศ์ศ์ศ์จงเจริญ ไชโยๆ คิดแล้วก็อยากเอาหัวตัวเองโขกกำแพง ไอ้โง่เอ๊ย ถ้ารู้จักเก็บปากเก็บคำทำหนิมหน่อย วิพากษ์วิจารณ์พันธมิตรอย่างเนียนๆ ไม่เขียนลงประชาไท ไม่ปากสว่างลามปามหมอประเวศ อาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพวกพี่เปี๊ยกพี่หมอพลเดช (แถวๆนั้นรู้จักตั้งหลายคน) เผลอๆ จะได้งานทำในสำนักงานปฏิรูปประเทศไทย ไม่ต้องวิจัยฝุ่นอยู่อย่างนี้ เขาอยากได้อยู่แล้วคนที่ภาพ “เป็นกลาง” หน่อย เพราะมันดูดีโรยหน้าได้ หรือไม่ก็อาศัยช่วงฮือฮา “ปฏิรูปสื่อ” ตั้งองค์กรเขียนโปรเจกท์อะไรซักอย่างแบบงานวิจัยผลกระทบและพัฒนาสื่อ ร่วมมือกับน้องๆ 3-4 คน ไปขอชื่อพวกพ้องในเครือข่ายมาเป็นที่ปรึกษา ของบ สสส.ซักปีละ 5-10 ล้าน ตั้งเงินเดือนให้ตัวเองพร้อมเบี้ยประชุมค่าน้ำมันรถ ซื้อตึกซักหลังแล้วติดป้าย “อาคารปลอดบุหรี่” ยังไปขอเงิน สสส.มาต่อเติมซ่อมแซมได้อีก งาน NGO สมัยนี้น่ะทำไม่ยากหรอกครับ มีชื่อหน่อย มีเครดิตหน่อย เขียนโปรเจกท์เป็น มี “คนดี” รับประกันว่าเราเป็น “คนดี” (ในเครือข่ายเดียวกัน) ทำโครงการ “แด่น้องผู้หิวโหย” “แต่น้องผู้หิวข้าว” “แด่น้องผู้หิวน้ำ” (ยกเว้นอย่างเดียวห้าม “แด่น้องผู้หิวบุหรี่”) ก็ของบ สสส.ได้แล้ว เพราะในขณะที่ประชาไท (หลังถูก สสส.ตัดเงินสนับสนุน) ดิ้นกระแด่วๆ ขอบริจาคเงิน 1 ล้าน ยังได้มาไม่กี่สตางค์เนี่ย สสส.เขาเปิดให้ขอโครงการระดับหมู่บ้านส่งทางอินเตอร์เน็ตไม่ต้องเห็นหน้าเห็นตากัน ก็ยังได้ทันที 2 แสนบาท ไม่เชื่อไปเปิดเว็บ สสส.ดู ที่จริงอยากเขียนยาวกว่านี้ แต่วันนี้เวลาไม่พอไว้ต่อภาคสองดีกว่า คือผมมองว่าความขัดแย้งในสังคมไทยวันนี้เป็นการต่อสู้ระหว่างความคิดเสรีประชาธิปไตย กับความคิดอนุรักษ์นิยมหรือจารีตนิยม ซึ่งนานไปฝ่ายล้าหลังจะพ่ายแพ้ แต่ลัทธิประเวศศ์ศ์ศ์แทรกเข้ามาเป็น “นีโอคอนส์” เป็นตัวช่วยที่น่ากลัวของฝ่ายจารีตนิยม ออกตัวด้วยว่าผมอาจจะวิเคราะห์ผิด ที่ว่าเขาจะเอาเงิน 600 ล้านไปปฏิรูปประเทศไทยอย่างไร คือบางทีเงิน 600 ล้านเนี่ยอาจจะเอาไปใช้เพื่อตีความคำพูดของหมอประเวศ เพราะตัวหมอประเวศเองอาจไม่สามารถอธิบายความคิดตัวเองออกมา 10 ข้อ 20 ข้อ การตีความคำพูดหมอประเวศเนี่ยเป็นงานที่ลำบากยากเย็นมากนะครับ ใครอ่านหมอประเวศเขียนแล้วจับประเด็นอะไรได้ลองเอามาแลกเปลี่ยนกันดู เผลอๆ จับได้ไม่เหมือนกัน มีน้องอดีต NGO คนหนึ่งเขาตั้งฉายาให้ว่าหมอประเวศก็คือ “บิ๊กจิ๋ว” แห่งภาคประชาสังคม เพราะบิ๊กจิ๋วพูดอะไรไม่เคยฟังรู้เรื่อง พูดทีไรก็รักทุกคน ฝ่ายนั้นก็รักฝ่ายนี้ก็รัก มีแต่เรื่องดีๆ ไปโม้ด นักข่าวใหม่ๆ ไปฟังบิ๊กจิ๋วบรรยายกลับมามึ้นตึ้บทุกคน พูดอะไรไม่รู้ จับประเด็นไม่ได้ หมอประเวศก็เหมือนกัน แกถึงต้องเขียนมาไง ใบตองสีส้ม ป.ล.รักฟลายอิ้งดัทช์แมนมาตั้งแต่ความพ่ายแพ้เพราะความงดงามในปี 1974 คารวะโยฮัน ครัฟฟ์ ที่ไม่ยอมไปเตะบอลโลก 1978 เพราะอาร์เจนตินาเป็น “เผด็จการ” ถึงอัศวินสีส้มทีมนี้จะน่าเบื่อเน้นเกมรับ แต่ทำไงได้ ของมันผูกพันมานาน ส่วนที่เชียร์อาร์เจนตินาไม่ได้ชื่นชอบเป็นพิเศษ แต่ใครแข่งกับเยอรมันเชียร์ทีมนั้น เพราะเกลียดฟุตบอลกลไกที่ทำลายความสวยงามมาทุกยุคสมัย ตั้งแต่ฮังการีปี 1954 ฮอลแลนด์ปี 1974 และฝรั่งเศสยุคพลาตินีเมื่อปี 1986
3 ก.ค.53
..............................