WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Wednesday, January 30, 2008

ตอนเกิดเอาเท้าออก ลิขิตชะตานายกฯคนที่ 25 [30 ม.ค. 51 - 18:16]

ด้วยคะแนนเสียง 310 ต่อ163 ในการลงคะแนนเลือกนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 28 มกราคม พ.ศ.2551 ส่งผลให้นายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 25 ของประเทศไทย

แน่นอน...เป็นเสียงที่ถูกต้องตามกฎหมาย มิต้องหวั่นหวาดต่อใบแดง ใบเหลืองแต่อย่างใด

เส้นทางการเมืองของนายกรัฐมนตรีคนที่ 25 ผันผ่านมาอย่างโชกโชน เคยเป็นรัฐมนตรีมาหลายกระทรวง เด่นดังมาทั้งกระทรวงมหาดไทย และคมนาคม

“ความอัจฉริยะของคุณสมัคร สุนทรเวช มีความจำดี พูดจาปราศรัยบันทึกเทปขายได้เป็นเรือนล้าน พระเถรานุเถระ พระหนุ่มเณรน้อย กระทั่งผู้ที่ไม่ชอบคุณสมัคร ก็ยังฟังเทปนั้นๆ...คุณสมัคร สุนทรเวช มีแฟนทั่วบ้านทั่วเมือง มีคนจำนวนไม่น้อยอยากให้คุณสมัคร สุนทรเวช มีโอกาสแสดงฝีมือ”

พระธรรมราชานุวัตร วัดพระเชตุพน แสดงธรรมทัศน์ไว้ในหนังสือ สมัคร 60 ปี คล้ายๆทำนายอนาคตไว้น้อยๆ ก่อนที่ความฝันจะเป็นจริง

สืบสาวเส้นทางการเมืองของ สมัคร สุนทรเวช ย่อมพบว่ายอกย้อนยาวไกล แต่ไกลกว่านั้นคือ สาแหรก “สุนทรเวช” อันทรงเกียรติ

“ผมเกิดหน้าวังบางขุนพรหม”

นายกรัฐมนตรีคนที่ 25 ประกาศไว้ในหนังสือ สมัคร 60 ปี

และให้รายละเอียดว่า “บ้านที่ผมเกิดอยู่ริมถนนสามเสน ตอนตรงกันข้ามกับกำแพงบางขุนพรหม ซึ่งเมื่อ 40 กว่าปีก่อนนั้น แถวตรงข้ามกับกำแพงวังเป็นบ้านเช่าตั้งเรียงราย ระหว่างบ้านเช่าหลายหลังนั้น ก็มีประตูใหม่เปิดเข้าไปข้างใน เป็นบ้านตึกมีเนื้อที่กว้างใหญ่ ด้านหลังลึกเข้าไปถึงวัดอินทรวิหาร”

พลางสรุปว่า “ผมเกิดที่บ้านคุณตาผมหลังนี้ เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2478”

สาแหรกข้างพ่อมาทางจันทบุรี “มีประวัติพอสืบกันขึ้นไปได้ถึง 3 ปีหลังจากสร้างกรุงเทพฯ คือราว พ.ศ. 2328 จนกระทั่งเรื่อยลงมาถึงสมัยรัชกาลที่ 5 ต่อรัชกาลที่ 6 พี่น้องสามคนก็ได้เข้ามารับราชการอยู่ในราชสำนัก”

พี่ชายของพ่อชื่อ สุ่น ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นถึง มหาเสวกตรีพระยาแพทย์พงศาวิสุทธาธิบดี มีตำแหน่งเป็นนายแพทย์ประจำพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นผู้ได้รับพระราชทานนามสกุลว่า สุนทรเวช

อาของท่านนายกฯ 25 ชื่อ แจ่ม ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นจมื่นอมรดรุณารักษ์

ส่วนพ่อของท่านนายกฯชื่อ เสมียน ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น เสวกเอกพระยาบำรุงราชบริพาร

สาแหรกข้างแม่เล่า

ตาของนายกฯชื่อ จันทร์ เป็นชาวบางลำพู เข้ารับราชการอยู่ในราชสำนัก โดยความอุปการะของกรมหลวงสรรพศาสตร์ศุภกิจ

ท่านนายกฯเล่าว่า “คุณตาผมเป็นช่างเขียนมีฝีมือ รับราชการสนองพระเดชพระคุณพระเจ้าอยู่หัว ในราชวงศ์จักรีต่อกันมา 3 รัชกาล ตั้งแต่รัชกาลที่ 5 ที่ 6 และรัชกาลที่ 7 ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ครั้งสุดท้ายเป็น มหาเสวกตรีพระยาอนุศาสตร์จิตรกร”

และได้รับพระราชทานนามสกุลว่า จิตรกร

ผลงานของ จันทร์ จิตรกร ตาของท่านนายกฯเป็นที่รู้จักกันในวงกว้างคือ ภาพวาดผนังพระอุโบสถวัดสุวรรณดารารามวรวิหาร อำเภอเมือง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นภาพพระราชประวัติ และพระกรณียกิจในพระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

พ่อและแม่นายกฯแต่งงานปลายสมัยรัชกาลที่ 6

หลังรัชกาลที่ 6 สวรรคต เศรษฐกิจบ้านเมืองไม่ดี มีการให้ข้าราชการออก เพื่อปรับดุลงบประมาณประเทศให้สมดุล พ่อท่านนายกฯต้องออกจากราชการในราชสำนัก หางานทำใหม่ และได้งานอยู่กรมโฆษณาการ หรือกรมประชาสัมพันธ์ในปัจจุบัน

หลังพ่อแม่แต่งงาน มีลูกด้วยกัน 9 คน สมัคร สุนทรเวช เป็นคนที่ 7

เป็นคนที่ 7 ที่พิเศษกว่าคนอื่นๆ เพราะว่า “ที่ผมเกิดนั้น ผมเกิดผิดกว่าลูกทุกคน และค่อนข้างจะผิดปกติกว่าคนธรรมดาเขาด้วย เพราะแทนที่จะเอาหัวออก ผมกลับเอาเท้าออกก่อน คุณแม่เคยเล่าให้ฟังเมื่อโตแล้วว่า เมื่อทำคลอดเสร็จคุณหมอก็หันมาบอกคุณแม่...”

ว่า “คุณหญิง ลูกคุณหญิงคนนี้เอาเท้าออก ขอให้เลี้ยงเอาไว้ให้ดี วันข้างหน้าจะช่วยครอบครัว ช่วยวงศ์สกุล และจะเป็นคนช่วยบ้านช่วยเมืองได้”

วัยเยาว์ท่านนายกฯ ซุกซนจนโดนหอยหนีบมือ

ท่านเล่าว่า “เมื่อตอนที่ผมอายุ 3 ขวบ และคุณแม่ยังอยู่ในบ้านของคุณตานั้น บ้านผมยังมีคนใช้ มีพี่เลี้ยง คนที่เป็นพี่เลี้ยงผมนั้น มีหน้าที่เป็นแม่ครัวด้วย เพราะยังงั้นตั้งแต่ผมยังเดินไม่ได้ ผมก็เริ่มถูกแม่ครัวอุ้มเข้ากระเอวเอาไปตลาดด้วยแล้ว”

เมื่อโตเดินได้แล้ว “ผมจึงมักจะเดินตามคนเลี้ยงไปตลาดด้วยบ่อยๆ ยังจำได้จนทุกวันนี้ แล้วได้เก็บเอามาสอนลูกตัวเองเวลาไปตลาด”

ยังมีภาพในความทรงจำคือ “ผมเคยไปยืนอยู่กับแม่ครัวที่หน้าแผงลอยขายปู ขายหอยแครง มีไอ้หอยตัวใหญ่อ้าปาก และเห็นเนื้อสีแดง ก็เอานิ้วไปจี้เล่น หอยแครงยังไม่ตาย มันหนีบเอานิ้วไว้ จนผมแหกปากร้องลั่นตลาด”

แรงเหวี่ยงของชะตากรรม เป็นเรื่องที่ไม่มีใครควบคุมได้ จึงต้องตกระกำลำบากอย่างไม่คาดฝัน

เมื่อ “คุณพ่อออกจากกระทรวงวัง มารับราชการวิสามัญอยู่กรมโฆษณาการ เขาจ้างในอัตราชั้นโท เงินเดือน 80 บาท คุณพ่อได้เบี้ยบำนาญอีกเดือนละ 115 บาท รวมเป็น 195 บาท เลี้ยงลูกตั้ง 6 คน อยู่จนถึงปลายปี พ.ศ. 2482 ที่ครอบครัวผมต้องเริ่มออกไปผจญภัยกับความยากลำบาก ด้วยการที่ทั้งพ่อแม่ลูกต้องออกไปหาบ้านเช่าอยู่เองโดยไม่มีคนใช้”

แต่ความลำบากทำให้ได้พบเหตุการณ์สำคัญ เสมือนเป็นแรงกระตุ้นให้สนใจการเมือง มาเป็นดาวสภา และนักการเมืองฝีปากกล้า

บ้านเช่านั้นอยู่แถวเทเวศร์ซอย 2 แล้วย้ายไปอยู่ซอยนามบัญญัติ ตรงที่ตั้งโรงเรียนอนุบาลสวนเด็กอยู่ในขณะนี้

“ผมจำได้ว่า เพิ่งจะเป็นยุคสมัยแรกๆ ของท่านนายกรัฐมนตรีชื่อ พันเอก แปลก พิบูลสงคราม อยู่แถวนั้นไม่ได้นานเขาก็มีการเรียกร้องดินแดนคืน และว่าจะมีการเดินขบวนเพื่อเรียกร้องดินแดนคืนกัน เวลานั้นพี่สาวผมคนโตเป็นยุวนารี นุ่งกระโปรงสีเขียวเหมือนทหาร แล้วสวมหมวกหนีบ พี่ชายผมคนโตเป็นนักเรียนเทพศิรินทร์...เวลาแต่งยุวชนทหารจึงได้ผ้าพันหมวกสีแดง”

แล้ววันหนึ่ง “เขาก็มีคนเดินขบวนเรียกร้องดินแดนคืนกัน ผมออกมายืนดูขบวนเขาอยู่ที่ริมถนนประชาธิปไตย ตอนหน้าบ้านเช่าหลังสีเทาๆ ของวัดมกุฏที่ตอนนี้รื้อออกไปสร้างห้องแถวสูงแหงนคอตั้งบ่าเสียหมดแล้ว”

บรรยากาศตอนนั้น “ผู้คนแน่นหนา เขาเดินผ่านแถวนั้นกันตอนเวลาพลบจวนค่ำ จำได้ว่ามีการถือคบเพลงเดินแห่กันมาในขบวนด้วย พวกพ้องผมออกไปยืนกันหมดทั้งบ้าน เพื่อจะคอยขะเย้อแขย่งดูพี่ชายกับพี่สาวเดินผ่าน”

นายกฯสรุปว่า “พอจะถือได้ว่าเป็นประสบการณ์ทางการเมืองครั้งแรกในชีวิตของผม”

คาดฝันหรือไม่ก็ตาม เส้นทางการเมืองสมัคร สุนทรเวช จากแรงบันดาลใจที่ชะเง้อดูที่ริมรั้วบ้านเช่า ได้ก้าวสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 25 เรียบร้อยแล้ว.