โดย คุณกาหลิบ
ที่มา เวบไซต์ โลกวันนี้
1 กุมภาพันธ์ 2551
เห็นพิธีรับพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี นายสมัคร สุนทรเวช ที่บ้านพักซอยนวมินทร์ ๘๑ และได้เห็นความปลาบปลื้มใจที่เจ้าของบ้านท่านได้รับ ได้เห็นญาติสนิทมิตรสหายของท่าน และบรรดาชาวประชาธิปไตยที่ไปแสดงความยินดีอย่างจริงใจ ทำให้ฉุกคิดขึ้นว่าบรรยากาศที่น่าชื่นใจอย่างนี้ อาจทำให้เราทั้งหลายลืมเรื่องสำคัญไปได้ง่ายๆ นั่นคือบรรยากาศของประเทศไทยในขณะนี้ไม่มีอะไรปรกติเลย เว้นแต่ขั้นตอนในการจัดตั้งรัฐบาล ที่ประจักษ์ตาอยู่
พรรคการเมืองหลายพรรคที่ร่วมรัฐบาลอยู่ สามารถถูกยุบเอาได้ง่ายๆ ทั้งที่การจัดกำลังของฝ่ายที่เคยยึดอำนาจการปกครองแผ่นดิน ก็ยังเป็นของเขาอยู่ เมื่อวานนี้ในเวลา ๐๘.๓๐ น.ก็ยังไปสาบานตนร่วมกันที่วัดพระแก้ว เพื่อจะไม่คิดคดทรยศต่อกัน
ปัญหาสามจังหวัดชายแดนใต้ ยังอยู่ในสภาพที่ระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ และมีข่าวระแคะระคายว่าใครบางคน จะช่วยสร้างสถานการณ์ให้เลวร้ายลง เพื่อโยนให้รัฐบาลใหม่เสียด้วย ไม่ต่างอะไรกับกลุ่มเดิมที่วางระเบิดกลางเมืองหาดใหญ่นั่นล่ะครับ
ตัวอย่างของปัญหาเหล่านี้ควรจะมากพอที่จะเตือนว่า รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวช เที่ยวนี้จะต้องเป็นรัฐบาลที่ใช้รูปแบบการบริหารงานยามวิกฤติ (crisis management)หมายความว่า การบริหารองค์กรของรัฐทั้งระบบ ต้องตั้งอยู่บนฐานความเชื่อว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ ไม่ใช่เหตุการณ์ปรกติที่รัฐมนตรีจะทำงานกันอย่างเซื่องๆ หรือทำเฉพาะงานที่ระบบราชการส่งหรือ “ชง” ขึ้นมา
ต้องมีรายการงานที่จะทำ ๒ ชุดเป็นอย่างน้อย
หนึ่ง-งานที่จะต้องทำ โดยวิเคราะห์จากบริบทการเมืองและปัญหาของประเทศในปัจจุบัน เพื่อจะทำเชิงรุกและไม่ต้องรอให้ใครมาบอก โดยอิงนโยบายของรัฐบาล
สอง-งานที่ระบบราชการเสนอขึ้นมา ซึ่งก็ต้องให้แนวทางไปว่า ตนคิดว่าอะไรสำคัญอะไรเร่งด่วน เพราะบางเรื่องสำคัญแต่ไม่เร่งด่วน และบางเรื่องก็เร่งด่วนแต่ไม่สำคัญอะไรนัก
จะต้องมีรองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีคณะเล็ก ที่จะเคลื่อนตัวได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเกิดเหตุคับขัน เพื่อเตรียมความคิดในกรณีที่ประชุมคณะรัฐมนตรีทั้งคณะไม่ได้ การรักษาความปลอดภัยไม่ควรอยู่ในมือของหน่วยงานที่เห็นได้ชัดว่าทำตามคำสั่งของคณะรัฐประหาร
เรื่องของการข่าวก็ต้องจัดการเหมือนทหารเตรียมรบทัพจับศึก นั่นคือ มีชั้นความลับและกระบวนการปกปิดความลับ ในขณะเดียวกัน ก็ต้องส่งข่าวที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ให้กับผู้ตัดสินใจ ที่มีการตกลงไว้ล่วงหน้าว่า มีหน้าที่รับผิดชอบลดหลั่นไปตามลำดับขั้น และนายกรัฐมนตรีในยามนี้จะตกข่าวไม่ได้เป็นอันขาด
การบริหารงานในยามวิกฤติมีสูตรตรงกันว่า ความคิดจิตใจของผู้คนในองค์กร จะมีความรวนเรไม่เป็นหนึ่งเดียวกัน ต่างฝ่ายก็ต่างห่วงอนาคตของตนเอง ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีอะไรจะบั่นทอนความมั่นใจได้เท่ากับความไม่รู้ว่า อะไรจะเกิดขึ้นกับตนอีกแล้ว รัฐบาลชุดนี้จึงต้องลดมิติของความเป็นรัฐบาลในยามปรกติ ที่จะรอรับคำสั่งหรือเพิ่มชั้นของการตัดสินใจ และทำให้ข่าวสารโดยเฉพาะข้อเท็จจริงอยู่ห่างตัวเพื่อความสบายใจของผู้บริหาร
รัฐบาลของนายกรัฐมนตรี สมัคร สุนทรเวช จะต้องกระทำการตรงข้ามกับสิ่งนั้นทั้งหมด อย่าลืมเป็นอันขาดว่าศัตรูตัวสำคัญนั้น เขาจัดตั้งในระบบของการทำสงครามเต็มรูปแบบ มีทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์ สายการบังคับบัญชา และทรัพยากรสนับสนุนการปฏิบัติการอย่างเหลือเฟือ เนื่องจากเสวยอำนาจมากว่าปี เทียบกับรัฐบาลที่มีแต่อำนาจตามกฎหมาย ถึงแม้จะมีพลังประชาชนหนุนหลังอยู่อย่างหนักแน่น แต่ก็อาจจะมีอันเป็นไปเสียก่อนที่ประชาชนจะรู้ และกรีธาทัพมาช่วยได้ทัน
รัฐบาลชุดนี้จึงมีหน้าที่ต้องช่วยตนเองก่อนเป็นอันดับแรก และในทัพสองประชาชนจะเป็นผู้ช่วยชีวิต
ที่สำคัญที่สุด ความภาคภูมิใจที่สามารถกลับมาจากความตายได้ อาจจะทำให้พรรคการเมืองอย่างพลังประชาชนเกิดความรู้สึกอยากปล่อยใจให้มีความสุขไปชั่วขณะหนึ่ง แต่นั่นแหละครับ คนรักกันชอบกันก็ต้องคอยเตือนว่าสภาพการณ์เช่นนี้ ท่านอดทนมาแล้วเป็นเวลากว่าปี ก็ขอให้อดทนต่อไป เพราะเพียงเปิดประตูเข้ามาเท่านั้น เขายังไม่เชิญให้นั่งในห้องรับแขกด้วยซ้ำไป ถ้าใครเผลอว่าถึงห้องนอนแล้ว ล้มตัวลงเอ้เต กรนอย่างสบาย หรือไม่ก็ดูโทรทัศน์อย่างสุขารมณ์ นั่นแหละครับ ถ้าเพดานไม่ถล่มลงมาทับเตียง พื้นที่รองรับอยู่ก็อาจจะถูกสูบลงไปอย่างคาดไม่ถึงได้
ความตื่นตัว ความสมบูรณ์ของเครือข่ายข้อมูลข่าวสาร และที่สำคัญการประสานเครือข่ายประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพและแน่นหนา จะเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้ประชาธิปไตยของไทยโดยผ่านรัฐบาลชุดนี้อยู่รอดได้
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเคยตรัสสอนธรรมข้ออัประมาท นี่คือเวลาที่จะประยุกต์ใช้ธรรมเหล่านั้น ให้เป็นจริงในชีวิตของประชาธิปไตยไทย
จาก Thai E-News