คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) ซึ่งถูกตั้งขึ้นเพื่อสอบสวนการกระทำผิดของรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หลังถูกยึดอำนาจ เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ถูกจับตาทันทีว่าอาจจะเกิดมีผลกระทบในการทำงาน หลังจากที่พรรคพลังประชาชน ขึ้นมาเป็นรัฐบาล รวมทั้งที่พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(คมช.) เคลียร์ใจกับพ.ต.ท.ทักษิณ ที่ลี้ภัยอยู่ในต่างประเทศแล้ว
นายนาม ยิ้มแย้ม ประธานคตส. ยอมรับว่าคตส.ถูกโดดเดี่ยวมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่มารับตำแหน่งจนถึงขณะนี้ อย่างไรก็ตามมั่นใจว่าไม่มีใครมาแทรกแซงการทำงานของคตส.ได้ ส่วนการต่อสายคุยกันของพล.อ.สนธิ กับพ.ต.ท.ทักษิณ ตนไม่ทราบข้อเท็จจริงว่า เป็นอย่างไร แต่อาจจะมีความจำเป็นก็ได้ ไม่รู้ความในใจไม่ขอก้าวล่วง พูดไปเดี๋ยวเกิด ความเข้าใจผิดกันอีก ตอนนี้คตส.ขอทำงานอย่างเดียวจนครบวาระ ซึ่งอาจมีผลงานชิ้นโบว์แดง คือ คดีการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิดซีทีเอ็กซ์ 9000 และคดีการจัดซื้อรถ-เรือดับ เพลิงของ กทม. ที่นายสมัคร นายกรัฐมนตรี เป็นหนึ่งในผู้ถูกกล่าวหา
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการประเมินว่าพล.อ.สนธิ ไปพบพ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อหาทาง ลงให้ตัวเอง ในส่วนของคตส. หาทางลงให้กับตัวเองหรือยัง ประธานคตส. กล่าวว่า ทางลงของ คตส.มีทางเดียว คือตั้งใจทำงาน ตามหน้าที่ให้ดีที่สุด และกรรมการคตส.ทั้ง10คนยืนยันไม่ถอดใจลาออกแน่นอน ตอนนี้ขอทำงานให้ถึงที่สุด ซึ่งอาจมีผลงานชิ้นโบแดง คือ คดีการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิดซีทีเอ็กซ์ 9000 และคดีการจัดซื้อรถ-เรือดับ เพลิงของ กทม. ที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี เป็นหนึ่งในผู้ถูกกล่าวหา
ซึ่งคาดว่าจาสรุปเสร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้ส่วนที่นายสมัคร สุนทรเวช ประกาศจะเอาคืนคน ที่เล่นงานตัวเองนั้น นายนามกล่าวว่า ตนไม่กลัว เพราะคตส.ทำงานตรงไปตรงมา ยึดหลักกฏหมาย ไม่ได้กลั่นแกล้งใคร เมื่อนายสมัครมาเป็นนายกฯก็ทำหน้าที่บริหารไป อย่าเข้ามายุ่งเกี่ยวกัน อย่างไรก็ตามเชื่อว่านายสมัครคงไม่เข้ามาแทรกแซงการทำงานของคตส. เพราะต่างคนต่างทำหน้าที่ และสุดท้ายทุกคดีก็ต้องไปสิ้นสุดที่ศาล
ด้านนาย แก้วสรร อติโพธิ กรรมการคตส. กล่าวว่าคตส.ไม่หวั่นไหวอะไรที่พล.อ.สนธิ คุยกับพ.ต.ท.ทักษิณ เพราะคตส.ไม่ได้ทำเพราะพล.อ.สนธิ หรืออำนาจของคมช. แต่เป็นการอาศัยอำนาจของกฏหมายป.ป.ช. ยืนยันว่าวันนี้คตส.ยังมีกำลังใจดีอยู่
นอกจากนี้นายแก้วสรรยังกล่าวว่า ในการประชุมคตส.วันที่ 4 กุมภาพันธ์นี้ จะมีวาระในการพิจารณาคือ คดีการทุจริตจัดซื้อพันธุ์กล้ายางพารา 90 ล้านต้น ของกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรฯ และคดีบ้านเอื้ออาทร โครงการร่มเกล้า-บางพลี ที่คณะกรรมการไต่สวนสรุปสำนวนเสร็จแล้ว จึงเสนอให้คตส.ชุดใหญ่พิจารณามีมติ ิส่งสำนวนไปยังอัยการสูงสุดเพื่อส่งฟ้องต่อศาลต่อไป
ขณะที่มีรายงานข่าวจากคณะอนุกรรมการไต่สวนกรณีพ.ต.ท.ทักษิณ เอื้อประโยชน์ออกนโยบาย เอื้อประโยชน์ให้กับตนเอง ครอบครัว และพวกพ้อง แจ้งว่า ในคดีการเอื้อประโยชน์ดาวเทียมไทยคม กรณีการรับเงินประกันดาวเทียมเสียหาย 33 ล้านเหรียญสหรัฐ ทางอนุกรรมการไต่สวนฯ ได้พิจารณาเสร็จแล้ว
โดยเตรียมเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคตส.ชุดใหญ่ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์นี้ เพื่อให้มีมติส่งให้กรมสรรพากร ดำเนินการเรียกเก็บภาษีเงินดังกล่าว เพราะแม้จะเป็นเงินที่ได้จากการประกันดาวเทียม แต่เงินดังกล่าว ไปอยู่ในบัญชี ของบริษัทชินแซทเทิลไลท์ จำกัด (มหาชน) ขณะที่เจ้าของดาวเทียมไทยคม 3 คือกระทรวงไอซีที จึงถือเป็นเงิน ได้พึงประเมินตาม ภงด. 50 ซึ่งกรมสรรพากรมีอำนาจเรียกเก็บภาษีตามประมวลกฎหมายรัษฎากร มาตรา 65
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า วันเดียวกันในการประชุมคณะอนุกรรมการไต่สวนกรณีธนาคาร เพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) ปล่อยเงินกู้ให้รัฐบาลพม่า4,000 ล้านบาท เพื่อตรวจเอกสารหลักฐานในคดีดังกล่าว ได้มีอนุกรรมการไต่สวนฯ คนหนึ่ง ร้องเพลง' เดียวดาย' ขึ้นมาด้วยเสียง อันดังขึ้นมากลางวงที่ประชุมด้วย
โดยมีเนื้อหาว่า 'เดียวดายอาดูร สิ้น สูญแล้วทุกทุกสิ่ง เธอ มาทอดทิ้ง จากไปแสนไกลสุดไกล จำใจจำทน หม่นหมองเพ้อร้องร่ำไห้ โอ้ ยอดดวงใจ แสน เศร้า โศก ตรม' โดยมีอนุกรรมการส่วนใหญ่ร้องคลอตามกัน
ขณะที่กรรมการคตส. บางคนกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า เพลงดังกล่าวเหมาะกับสถานการณ์ในช่วงนี้ ซึ่งตั้งแต่คตส.เริ่มทำงาน ทางคมช.ได้เชิญไปร่วมรับประทานอาหารอยู่ 2 ครั้ง คือ ครั้งแรกที่เริ่มทำงาน และครั้งสุดท้ายที่คมช.เริ่มหมดอำนาจ
ด้านนายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) กล่าวถึงกรณีที่นายสมัคร สุนทรเวช ระบุว่าการที่ปปช.ตั้งคณะอนุกรรมการตรวจสอบกรณีโครงการจ้างเอกชน กำจัดขยะมูลฝอยมูลค่ากว่า 9000 ล้านบาท เพราะมีมือที่มองไม่เห็นสั่งการ ว่า มือที่มองไม่เห็น ตนก็ไม่เคยเห็นเหมือนกัน และยืนยันว่าการทำงานของปปช.ไม่มีใบสั่งจากใคร และเชื่อว่าการที่นายสมัครเป็นนายกฯจะไม่กระทบกับการตรวจสอบคดีนี้
นอกจากนี้นายกล้านรงค์ ยืนยันว่าป.ป.ช.ไม่ได้ละเว้นการตรวจสอบคดีทุจริตโครงการก่อสร้างถนน - อุโมงค์ ทางลอด 16 โครงการของกทม.สมัยที่นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน เป็นผู้ว่าฯกทม. เพราะคดีนี้อยู่ระหว่างการ ตรวจสอบของคณะอนุกรรมการฯที่มีตนเป็นประธาน
นายใจเด็ด พรไชยา กรรมการ ป.ป.ช.ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการไต่สวนโครงการจ้างเหมา เอกชน ขนมูลฝอยกล่าวว่า หลังจากที่รวบรวมพยานหลักฐานเอกสารแล้ว จากนั้นจะเรียกผู้เกี่ยวข้องให้ข้อมูลต่อไป โดยคดีนี้คาดว่าจะใช้เวลาไม่นาน เพราะมีผลการตรวจสอบของ สตง.อยู่แล้วระดับหนึ่ง