สงส้าน สงสาร พี่อี๊ด จริงจริ๊ง จริงจริง
สงสารแทบน้ำตาเล็ด
น้ำตาเล็ด เพราะหัวเราะจนหยุดไม่ได้ เมื่อได้ยินข่าวว่า พี่อี๊ดของกระผม หรือ ดร.เสรี วงศ์มณฑา ของเหล่าสาวกพันธมิตรประชาชนปล้นประชาธิปไตย ประกาศแขวนไมค์ ใช้พลาส เตอร์ปิดปากตัวเอง เลิกพูดจาประสาการเมือง อย่างเด็ดขาด
เหตุผลที่จำใจต้องแขวนไมค์ ก็คือ ว่า
“พี่เบื่อกับการตักน้ำรดหัวตอเต็มที และ 3 ปีที่สีซอให้ควายฟัง พี่หมดแรง หมดพลังไปเยอะแยะมากมาย ที่เคยได้เงินมากมายจากการรับเชิญไปพูด ไปอบรม ไปเป็นวิทยากรทั้งกรุงเทพ ต่างจังหวัด ทั้งภาคเอกชน ภาครัฐ รับอัฐครั้งละหลายหมื่นบาท ต้องสูญหายไปหมด เสียรายได้ไปปีละไม่น้อย เพราะไม่มีใครกล้าเชิญ คนที่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองไปเป็นวิทยาการอบรมพนักงานของหน่วยงาน
พี่คิดดีแล้วว่า 3 ปีที่ลงทุนลงแรงไปมาก แต่เหมือนตักน้ำรดหัวตอ เราพูดอะไรก็ไม่มีความหมาย คำพูดเราไม่มีค่า ไม่มีใครฟัง เหมือนสีซอให้ควายฟัง ถ้าเป็นแบบนี้ พี่ก็ต้องไปทำอย่างอื่น เลิกพูดการเมือง กลับไปเป็นอาจารย์ จัดการอบรม สัมมนา เหมือนเดิม ไปให้ความรู้เรื่องการตลาด แนะนำวิธีแก้ปัญหาให้เยาวชน น่าจะเป็นประโยชน์แก่บ้านเมือง มากกว่า”
เพื่อนที่นำข่าวเรื่องนี้ของพี่อี๊ดมาเล่าให้ฟัง ใส่อาการท่าทางแบบเต็มๆ ไม่มีกระมิดกระ เมี้ยน เลียนแบบผู้ชายนะยะสไตล์ เสรี วงศ์มณฑา จนผมเก็บความสำรวมไม่อยู่
ผมฟังไปปาดน้ำตาไป ทั้งน้ำตา ทั้งน้ำลาย กระเซ็น กระเด็นเปรอะเสื้อไปหมด
นี่เป็นครั้งแรกที่ผมฟังคนมาเล่าข่าวให้ฟังด้วยอาการที่เสียกิริยามารยาทที่สุด
แต่มันหยุดไม่ได้จริง
ยิ่งตอนที่บอกว่า “เหมือนกับพี่ไปจีบผู้ชายน่ะ ถ้าจีบไป 3 ปีแล้ว ยังไม่มีหวังได้แอ้ม พี่ก็ต้องเลิก ไปจีบผู้ชายคนอื่นดีกว่า”
ว้าวๆๆ...... เสรี วงศ์มณฑา เปรียบการพูดจาให้ความรู้ประชาชนเหมือนกับการจีบผู้ชาย เมื่อไม่มีหวังได้แอ้ม ได้ลิ้มชิมรส ก็เลิกดีกว่า
เรื่องประเทศชาติ บ้านเมือง ที่มีประชาชนหลายสิบล้านคนเป็นผู้ชมผู้ฟัง กับเรื่องจีบผู้ชายสักคน เหมือนกันได้อย่างไร
ทั้งหมดนี้ ครั้งแรกผมได้ฟังจากปากผู้บอกเล่า ฟังแล้วหัวเราะจนพุงเขย่าไขมันเขยื้อนจนเรือนสะท้าน แต่พอได้ฟังครั้งที่สอง จากเทปที่มีผู้หวังดีอัดมาให้ฟัง จึงทราบว่าเป็นเป็นการสนทนาอย่างออกรส ระหว่าง โอวาท พรหมรัตนพงศ์ กับ เสรี วงศ์มณฑา ในรายการวิทยุเอฟเอ็ม 98.0
ที่ว่าสนทนากันอย่างออกรสนั้น จากที่ผมได้ฟังกับหูตัวเอง พอจะรู้สึกได้ว่าเป็นรสชาติที่ขมปากของผู้พูด อย่าง เสรี วงศ์มณฑา ที่เกิดอาการอกหักอย่างรุนแรง เนื่องจากพรรคประชาธิปัตย์ เป็นฝ่ายค้าน และพรรคพลังประชาชน เป็นรัฐบาล โดยมีนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี
สำหรับผู้ฟังอย่างผม ที่คิดว่าเป็นเรื่องที่พูดตลกๆ ในครั้งแรก กลับกลายเป็นว่า ฟังแล้วเศร้า เศร้า และ เศร้า จนไม่อยากจะเชื่อว่า คนที่พูดเป็นถึงดอกเตอร์
เศร้าที่ทำให้ต้องพูดกับตนเองว่า การศึกษาไม่ได้ช่วยทำให้วุฒิภาวะและจิตใจของคนดีขึ้นแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม คนบางคนมีการศึกษาสูง กลับยิ่งหลงตัวเองหัวปักหัวปำ มอมเมาตัวเองด้วยความคิด ความเชื่อ จนโงหัวไม่ขึ้น เห็นตัวเองคือความถูกต้องแต่เพียงผู้เดียว มองว่าคนอื่นเป็นคนผิด เป็นคนโง่
เสรี วงศ์มณฑา ก็คือ เด็กคนเดียวในขบวนพาเหรด ที่ก้าวเท้าผิดข้างแปลกแยกจากคนทั้งหมด ด้วยการก้าวท้าวซ้าย ในขณะที่คนอื่นก้าวท้าวขวา แล้วก็พาลพาโลด่าคนทั้งขบวนพาเหรด ว่าเดินผิดทุกคน มีแต่ตนคนเดียวที่เดินถูก
ประชาชนที่เลือกพรรคพลังประชาชน โง่เป็นควาย ในสายตาของ เสรี วงศ์มณฑา
ประชาชนที่เห็นแตกต่างจาก เสรี วงศ์มณฑา ไม่ใช่คน แต่เป็น ควาย ได้ยินไหม
ในขณะที่มองประชาชนครึ่งค่อนประเทศเป็นควาย เสรี วงศ์มณฑา กลับเห็นตัวเองเป็นคนเพียงคนเดียวที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงควาย
ประชาชนที่ฟัง เสรี วงศ์มณฑา แล้วไปเลือกพรรคพลังประชาชน ก็คือ หัวตอ ที่ไม่มีวันรับรู้ ไม่มีวันเข้าใจ เหมือนกับ ตักน้ำรดหัวตอ
แล้วนักการเมือง อย่าง บรรหาร ศิลปอาชา ที่สนับสนุน พรรคพลังประชาชน ให้เป็นรัฐบาล ขานชื่อ นายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี ล่ะ เป็น ควาย หรือ หัวตอ ในสายตาของ เสรี วงศ์มณฑา
บรรหาร ศิลปอาชา คือ นักการเมืองที่อุ้มชู เลี้ยงดู เสรี วงศ์มณฑา มานานเกือบสิบปี ให้ข้าว ให้น้ำ ให้ที่หลับที่นอน กินอิ่มนอนหลับ จนอ้วนหมีพีมัน
วันที่ เสรี วงศ์มณฑา ตกอับ คอพับคออ่อนกับพิษเศรษฐกิจ ปี 2543 สมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ก็ได้บรรหาร นี่ล่ะกู้ชีวิตให้
วันนี้ บรรหาร ศิลปอาชา คือ ควาย หรือ หัวตอ ในสายตา เสรี วงศ์มณฑา
ส.ส.ที่ยกมือให้สมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี เป็น ควาย หรือ หัวตอ ด้วยใช่ไหม
หรือมีใครในสภาฯ ชื่อ ควาย” หรือ “หัวตอ” ยกมือขึ้นหน่อย?
หาก บรรหาร จะเป็นควาย ก็คงเพราะเลี้ยงคนอย่าง เสรี วงศ์มณฑา ไว้นั่นเอง
ก่อนที่จะไปพูดกับคนอื่น ผมเสนอให้ เสรี วงศ์มณฑา ไปทำความเข้าใจ ไปเรียนรู้เรื่องการเมืองไทย กับบรรหาร ศิลปอาชา ก่อนน่าจะดีกว่า ที่จะพูดอะไรออกมาในครั้งต่อไป
ก่อนที่จะพูดอะไรออกไปในครั้งต่อไป ผมเสนอว่า เสรี วงศ์มณฑา ต้องมองย้อนดูตัวเองก่อนว่า ทำไมประชาชนส่วนใหญ่ จึงไม่เชื่อ ไม่ฟัง ไม่ทำตามที่ตนพูด ทั้งๆ ที่พูดมายาวนานกว่า 3 ปี
ก่อนที่จะพูดอะไรออกไปในครั้งต่อไป ผมเสนอว่า เสรี วงศ์มณฑา ควรจะให้เกียรติผู้ฟัง มากกว่าดูถูก และไม่ควรเห็นคนอื่นเป็นควาย เป็นหัวตอ อย่างที่พูดพล่อยๆ ออกมาอีก
คนอย่างนี้น่ะหรือ ที่อยากให้ผู้อื่นยกย่องเป็นครูบาอาจารย์
คนอย่างนี้น่ะหรือ ที่จะไปสอนให้ผู้อื่นเดินตามตัวเอง ทำตามที่ตัวเองพูด แนะนำ และสั่งสอน
คนอย่างนี้น่ะหรือ ควรจะกลับไปเริ่มต้นเรียนรู้เรื่องการพูด และการให้เกียรติผู้อื่น ใหม่ ก่อนที่จะกลับเข้าสู่สังคมปกติชน และสังคมสุภาพชน หลังจากที่ไปคลุกคลีอยู่กับสังคมกักขฬะชนแถวท่าพระอาทิตย์ มานานหลายปี
อันที่จริง ผมก็อยากจะแนะนำ อยากจะสั่งสอนอยู่เหมือนกัน แต่เกรงว่าจะเป็นการสีซอให้ควายฟัง และ ไม่ต่างจากตักน้ำรด (หัว) ตอ
ผมคิดว่าน่าจะเป็นตอ นะ เพราะที่เกินมา และไม่ได้ใช้งาน คงจะตัดทิ้งไปแล้ว (ฮาๆๆๆๆๆ)
ก่อนจบ... ผมมีคำถามที่อยากจะให้ เสรี วงศ์มณฑา ว่า เหตุที่เลิกพูดจาประสาการเมือง เลิกด่ารัฐบาล เลิกวิจารณ์พรรคพลังประชาชน เพราะท้อแท้ และหมดแรง หรือ เพราะอยากได้งบประมาณจากหน่วยงานรัฐบาล จึงต้องรูดซิปปิดปากตัวเอง หลังจากที่พรรคชาติไทย อู่ข่าวอู่น้ำ เข้าไปเป็นรัฐบาล แล้ว
ถึงแม้ เสรี วงศ์มณฑา จะไม่ตอบ ผมก็เชื่อว่าคนอ่านทุกคนที่รู้จัก เสรี วงศ์มณฑา คงตอบได้
จับตาดู กระทรวงเกษตรฯ และ กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ให้ดีก็แล้วกัน
ประดาบ
จาก hi-thaksin