ที่มา เวบไซต์ ประชาทรรศน์
30 มกราคม 2551
น่าสนใจเหลือเกินกับความสัมพันธ์ของตัวละครเหล่านี้ อันได้แก่ ประธานองคมนตรี-คณะรัฐประหาร–คณะรัฐมนตรี-สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)
ตั้งแต่เกิดการยึดอำนาจใหม่หมาดแล้วที่ชื่อของประธานองคมนตรี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ถูกดึงมาเกี่ยวข้องในฐานะเบื้องหลังการรัฐประหาร 19 กันยายน ซึ่งสร้างความเสื่อมเสียให้รัฐบุรุษท่านนี้ไปไม่น้อย
และขณะที่มวลชนผู้หวงแหนประชาธิปไตยพากันประณามสาปแช่ง พล.อ.เปรม ฝ่ายคณะรัฐประหารก็ดาหน้ากันออกมาปกป้อง พล.อ.เปรม มากมายเช่นกัน ด้วยการยืนกรานปฏิเสธว่า พล.อ.เปรม ไม่เกี่ยวอะไรกับการรัฐประหารครั้งนั้น...
ทว่า สิ่งที่เกิดขึ้นต่อๆ มา กลับตอกย้ำให้ประชาชนเห็นว่า สำหรับคณะรัฐประหารและหน่อเนื้อเชื้อไขแล้ว มีลักษณะความกตัญญูรู้คุณต่อ พล.อ.เปรม มากแค่ไหน
เช่นที่เคยเกิดเป็นประเด็นขึ้นมาในช่วงสั้น ๆ ประมาณเดือนตุลาคมของปีที่แล้ว คือกรณีที่ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)บางกลุ่ม ดำเนินการผลักดันแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา เพื่อปกป้องพระบรมราชวงศ์ องคมนตรี ประธานองคมนตรี มิให้ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย ในมาตรฐานกฎหมายหมวดเดียวกับการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
เป็นการพยายามยกชั้นประธานองคมนตรี และองคมนตรีให้ขึ้นไปอยู่ระดับเดียวกับพระบรมราชวงศ์ งานนี้ก็ไม่รู้ว่า เหาจะขึ้นหัวใครดี ระหว่างคนเสนอกับคนถูกเสนอ...
โชคยังดีที่เรื่องนี้มีความละเอียดอ่อนมากจนเกินไป เกินกว่าที่ประชาชนคนอื่นๆ จะรับได้ จึงต้องออกมาคัดค้าน และเป็นอันที่สนช.ต้องพับเก็บไปในที่สุด
กระบวนการ “ต่างตอบแทน” ครั้งแรกจึงไม่ได้ผล
หากแต่ความกตัญญูรู้คุณ คือนิสัยของคนไทย แม้ครั้งแรกยังทำไม่ได้เพราะประชาชนอีกหลายสิบล้านคนผู้เสียภาษีเขาไม่เห็นด้วย... แต่ก็ใช่ว่าจะยอมแพ้
ล่าสุดสดๆ ร้อนๆ โดยอาศัยช่วงที่หลายคนพุ่งความสนใจไปที่การเลือกนายกรัฐมนตรี การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ คณะรัฐมนตรีปัจจุบันนำโดย พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ก็มีมติเห็นชอบ “พระราชกฤษฎีกาเงินประจำตำแหน่งขององคมนตรี และรัฐบุรุษ พ.ศ.2551” ซึ่งเพิ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้มีผลบังคับใช้ไปเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2551 ที่ผ่านมา
ซึ่งตามพระราชกฤษฎีกาฉบับดังกล่าว ได้กำหนดเพิ่มเงินเดือนประจำตำแหน่งให้ประธานองคมนตรีจากเดือนละ 114,000 บาท เป็น เดือนละ 121,990 บาท
องคมนตรีจากเดิมที่เคยได้รับเดือนละ 104,500 บาท เพิ่มเป็นเดือนละ 112,250 บาท
รัฐบุรุษจากเดิมที่เคยได้รับเดือนละ 100,000 บาทเพิ่มเป็นเดือนละ 121,990 บาท
มีความจำเป็นอันใดกับการออก พ.ร.ก.ฉบับนี้ นอกเสียจาก การเอื้อประโยชน์ส่วนตัวให้กับคนบางคนบางกลุ่ม... ทั้งที่เป็นกลุ่มบุคคลผู้ซึ่งทำงานรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาทอย่างใกล้ชิด แต่กลับผ่านกฎหมายที่ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับ “ความพอเพียง” ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชประสงค์ให้ชาวไทยทั้งประเทศน้อมรับนำไปปฏิบัติ
เรียกว่าอยากตอบแทนสนองคุณกันจนหน้ามืดตามัว จนไม่สำเหนียกเลยว่าจะกระทบกระเทือนพระเกียรติยศมากเพียงใด...
ผู้ที่ได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยจากองค์ประมุขของประเทศ ย่อมต้องพร้อมทำหน้าที่ด้วยความบริสุทธิ์ จริงใจ ให้สมกับเกียรติยศที่ได้รับ เพราะนี่มิใช่ตำแหน่งที่มีไว้เพื่อแสวงหาผลประโยชน์...
ลำพังเพียงตอนรัฐประหารที่ประธานองคมนตรีถูกโจมตี ก็สร้างความบอบช้ำมากพอแล้ว
อย่าให้ต้องเป็นที่โจษจันถึงความไม่เหมาะสม กระทบกระเทือนความรู้สึกของคนไทย ที่จงรักภักดีให้มากไปกว่านี้อีกเลย
จาก Thai E-News
30 มกราคม 2551
น่าสนใจเหลือเกินกับความสัมพันธ์ของตัวละครเหล่านี้ อันได้แก่ ประธานองคมนตรี-คณะรัฐประหาร–คณะรัฐมนตรี-สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)
ตั้งแต่เกิดการยึดอำนาจใหม่หมาดแล้วที่ชื่อของประธานองคมนตรี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ถูกดึงมาเกี่ยวข้องในฐานะเบื้องหลังการรัฐประหาร 19 กันยายน ซึ่งสร้างความเสื่อมเสียให้รัฐบุรุษท่านนี้ไปไม่น้อย
และขณะที่มวลชนผู้หวงแหนประชาธิปไตยพากันประณามสาปแช่ง พล.อ.เปรม ฝ่ายคณะรัฐประหารก็ดาหน้ากันออกมาปกป้อง พล.อ.เปรม มากมายเช่นกัน ด้วยการยืนกรานปฏิเสธว่า พล.อ.เปรม ไม่เกี่ยวอะไรกับการรัฐประหารครั้งนั้น...
ทว่า สิ่งที่เกิดขึ้นต่อๆ มา กลับตอกย้ำให้ประชาชนเห็นว่า สำหรับคณะรัฐประหารและหน่อเนื้อเชื้อไขแล้ว มีลักษณะความกตัญญูรู้คุณต่อ พล.อ.เปรม มากแค่ไหน
เช่นที่เคยเกิดเป็นประเด็นขึ้นมาในช่วงสั้น ๆ ประมาณเดือนตุลาคมของปีที่แล้ว คือกรณีที่ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)บางกลุ่ม ดำเนินการผลักดันแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา เพื่อปกป้องพระบรมราชวงศ์ องคมนตรี ประธานองคมนตรี มิให้ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย ในมาตรฐานกฎหมายหมวดเดียวกับการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
เป็นการพยายามยกชั้นประธานองคมนตรี และองคมนตรีให้ขึ้นไปอยู่ระดับเดียวกับพระบรมราชวงศ์ งานนี้ก็ไม่รู้ว่า เหาจะขึ้นหัวใครดี ระหว่างคนเสนอกับคนถูกเสนอ...
โชคยังดีที่เรื่องนี้มีความละเอียดอ่อนมากจนเกินไป เกินกว่าที่ประชาชนคนอื่นๆ จะรับได้ จึงต้องออกมาคัดค้าน และเป็นอันที่สนช.ต้องพับเก็บไปในที่สุด
กระบวนการ “ต่างตอบแทน” ครั้งแรกจึงไม่ได้ผล
หากแต่ความกตัญญูรู้คุณ คือนิสัยของคนไทย แม้ครั้งแรกยังทำไม่ได้เพราะประชาชนอีกหลายสิบล้านคนผู้เสียภาษีเขาไม่เห็นด้วย... แต่ก็ใช่ว่าจะยอมแพ้
ล่าสุดสดๆ ร้อนๆ โดยอาศัยช่วงที่หลายคนพุ่งความสนใจไปที่การเลือกนายกรัฐมนตรี การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ คณะรัฐมนตรีปัจจุบันนำโดย พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ก็มีมติเห็นชอบ “พระราชกฤษฎีกาเงินประจำตำแหน่งขององคมนตรี และรัฐบุรุษ พ.ศ.2551” ซึ่งเพิ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้มีผลบังคับใช้ไปเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2551 ที่ผ่านมา
ซึ่งตามพระราชกฤษฎีกาฉบับดังกล่าว ได้กำหนดเพิ่มเงินเดือนประจำตำแหน่งให้ประธานองคมนตรีจากเดือนละ 114,000 บาท เป็น เดือนละ 121,990 บาท
องคมนตรีจากเดิมที่เคยได้รับเดือนละ 104,500 บาท เพิ่มเป็นเดือนละ 112,250 บาท
รัฐบุรุษจากเดิมที่เคยได้รับเดือนละ 100,000 บาทเพิ่มเป็นเดือนละ 121,990 บาท
มีความจำเป็นอันใดกับการออก พ.ร.ก.ฉบับนี้ นอกเสียจาก การเอื้อประโยชน์ส่วนตัวให้กับคนบางคนบางกลุ่ม... ทั้งที่เป็นกลุ่มบุคคลผู้ซึ่งทำงานรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาทอย่างใกล้ชิด แต่กลับผ่านกฎหมายที่ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับ “ความพอเพียง” ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชประสงค์ให้ชาวไทยทั้งประเทศน้อมรับนำไปปฏิบัติ
เรียกว่าอยากตอบแทนสนองคุณกันจนหน้ามืดตามัว จนไม่สำเหนียกเลยว่าจะกระทบกระเทือนพระเกียรติยศมากเพียงใด...
ผู้ที่ได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยจากองค์ประมุขของประเทศ ย่อมต้องพร้อมทำหน้าที่ด้วยความบริสุทธิ์ จริงใจ ให้สมกับเกียรติยศที่ได้รับ เพราะนี่มิใช่ตำแหน่งที่มีไว้เพื่อแสวงหาผลประโยชน์...
ลำพังเพียงตอนรัฐประหารที่ประธานองคมนตรีถูกโจมตี ก็สร้างความบอบช้ำมากพอแล้ว
อย่าให้ต้องเป็นที่โจษจันถึงความไม่เหมาะสม กระทบกระเทือนความรู้สึกของคนไทย ที่จงรักภักดีให้มากไปกว่านี้อีกเลย
จาก Thai E-News