โดย คุณลูกชาวนาไทย
ที่มา เวบไซต์ thaifreenews
1 กุมภาพันธ์ 2551
ตามปกติแล้ว รัฐบาลในประเทศที่ปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยนั้น การล้มรัฐบาลอย่างถูกต้องตามรัฐธรรมนูญนั้น มีเพียงวิธีเดียว คือ การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล และมีเสียงไม่ไว้วางใจเกินกว่ากึ่งหนึ่ง ส่วนวิธีการอื่นๆ นั้นไม่สามารถล้มรัฐบาลได้ ไม่ว่าจะเป็นการเดินขบวนประท้วงกลางถนน หรือก่อการจลาจลก็ตาม เพราะไม่มีอำนาจชี้ขาดที่จะทำให้รัฐบาลต้องออกไป
รัฐบาลนายกฯทักษิณ ที่ล้มลงไปนั้น เกิดจากอำนาจนอกระบบ อำนาจที่นานาอารยประเทศไม่ยอมรับกัน คือการทำรัฐประหาร แต่การทำรัฐประหารนั้น มีข้อจำกัดของตัวเองว่าไม่สามารถทำได้บ่อยครั้งนัก และโอกาสที่จะกลายเป็นกบฏนั้นมีค่อนข้างสูง ประกอบกับประเทศไทย เพิ่งต่อสู้โค่นล้มอำนาจคณะรัฐประหารมาหยกๆ ด้วยการออกไปเลือกตั้ง ดังนั้น การที่จะมีคนทำรัฐประหารอีกในอนาคตอันใกล้นี้ มันจึงเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก
เราจะเห็นได้ว่าแรงต่อต้านการทำรัฐประหารจากประชาชนครั้งนี้ มีค่อนข้างสูง หัวหน้าคณะรัฐประหารอย่าง พล.อ.สนธิ ที่เป็นวีรบุรุษของคนบางกลุ่ม แค่ไม่ถึงหนึ่งปี ตอนนี้ก็แทบจะไม่มีแผ่นดินอยู่แล้ว และไม่ทราบว่าจะใช้ชีวิตหลังเกษียณอายุราชการ และสิ้นอำนาจต่อไปอย่างสงบได้อย่างไร จนกว่าจะตายจากโลกนี้ไป ดังนั้นผมจึงไม่เชื่อว่าจะมีผู้บัญชาการทหารบกคนใดกล้าทำรัฐประหารอีกภายในห้าปีนี้ ผมเชื่อแน่ว่า พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบกคนปัจจุบัน ที่จะอยู่ในตำแหน่งต่อจากนี้ไปอีก 3 ปี จะลงทุนทำรัฐประหารอีก ตัวอย่างของ พล.อ.สนธิ บุณยรัตนกลิน ก็มีให้เห็นแล้ว เราจึงเห็นได้ว่าอย่างน้อย ประเทศไทยก็จะปลอดจากรัฐประหารอย่างแน่นอน ภายในห้าปีข้างหน้านี้
เมื่อไม่มีการทำรัฐประหาร การที่จะล้มรัฐบาล ด้วยวิธีการอื่นนอกรัฐสภานั้นไม่อาจทำได้ จะเห็นได้ว่าช่วงรัฐบาลทักษิณนั้น นายสนธิ ลิ้มทองกุลปลุกม็อบ ระดมพลออกมานอกถนนอย่างไร ก็ไม่อาจล้มรัฐบาลทักษิณได้ เพียงแต่ "พลเอกเปรม กับลูกป๋า" วางแผนไว้แล้วว่าจะทำรัฐประหารนั่นเอง รัฐบาลทักษิณจึงล้มไปด้วยรถถัง และปืน แต่ไม่ใช่จากม็อบ
เมื่อเราพิจารณาจากเงื่อนไข จำนวนที่นั่งในสภาแล้ว การที่จะล้มรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ลงไปให้ได้นั้น ไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน เนื่องจากรัฐบาลชุดนี้ ไม่ใช่รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ แม้ว่าจะเป็นรัฐบาลผสมถึง 6 พรรคก็ตาม แต่จำนวนเสียงของพรรคแกนนำคือ พรรคพลังประชาชน ก็มีถึง 233 ที่นั่ง ต่ำกว่าครึ่งหนึ่ง คือ 240 ที่นั่ง เพียง 7 ที่นั่งเท่านั้น
การล้มรัฐบาลของนายสมัคร สุนทรเวช ด้วยวิธีการทางรัฐสภา จึงเกิดขึ้นได้ยากในทางปฎิบัติ เพราะจะต้องรวมเสียงของพรรคร่วมรัฐบาลทั้ง 5 พรรค โดยขาดไม่ได้แม้แต่เสียงเดียว รวมกับเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ทั้งหมด จึงจะล้มรัฐบาลได้
ผมจึงมองเห็นว่า รัฐบาลสมัคร สุนทรเวช นั้น แข็งแกร่งมากกว่าที่หลายฝ่ายคิดกันไว้
คนที่มองว่ารัฐบาลนายสมัคร จะมีอายุสั้นนั้น ไม่ได้มองจากข้อมูลและเหตุผลที่เป็นจริง แต่เป็นการคิดเอาจากอารมณ์และความไม่ชอบนายสมัคร โดยไม่คำนึงถึงข้อเท็จจริงมากกว่า
มีวิธีเดียวที่จะทำให้นายสมัคร สุนทรเวช ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้คือ จะต้องใช้อำนาจตุลาการ ทำให้นายสมัคร สุนทรเวช ต้องคำพิพากษาจำคุก ซึ่งก็จะมีผลให้ต้องพ้นตำแหน่งนายกฯ ไป
แต่แม้ว่า จะทำให้นายสมัคร สุนทรเวช พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ ก็ไม่ได้หมายความว่า พรรคประชาธิปัตย์ และกลุ่มอำมาตย์ จะสามารถตั้งรัฐบาลได้ เพราะยังมีคนอื่นๆ ในพรรคพลังประชาชน ที่พร้อมจะเป็นนายกรัฐมนตรีต่อจากนายสมัคร สุนทรเวช อีก เช่น นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ หรือคนอื่นๆ เป็นตัน การเอานายสมัคร ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จึงไมได้ก่อประโยชน์ใดๆ ต่อพรรคประชาธิปัตย์ หรือพวกต่อต้านทักษิณ เพราะการเมืองไม่เปลี่ยนข้างแน่นอน
การคว่ำรัฐบาลพรรคพลังประชาชน จึงไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ และผมเชื่อว่า หากไม่มีปัญหาสะดุดเรื่องคดีความต่าง ๆ แล้ว คุณสมัคร สุนทรเวช ก็จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีครบสี่ปีแน่นอน ยกเว้นว่าจะมีการยุบสภา เพื่อให้ประชาชนเลือกตั้งใหม่ หลังการแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้ว แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่จะทำสำเร็จได้โดยเร็ว อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาสองสามปี หรือแก้ไขเสร็จแล้วก็ไม่มีความจำเป็นต้องยุบสภาทันที
แต่การโค่น คุณสมัคร จะส่งผลเสียต่อพวก Royalist หรือสถาบันอย่างแน่นอน เพราะคุณสมัครได้ชื่อว่าเป็น Royalist ลำดับต้นๆ คนหนึ่ง การขาดคุณสมัคร สุนทรเวช เป็นหัวขบวนของพรรคพลังประชาชน จะทำให้ขาดตัวเชื่อมอย่างดีในพรรครัฐบาล รวมทั้งพวกหัวก้าวหน้าทั้งหลายที่สนับสนุนพรรคพลังประชาชน เพราะไม่พอใจกับการทำรัฐประหารที่ผ่านมา การขาดตัวเชื่อมจะทำให้การควบคุมทิศทางไม่ให้เลยเถิดและการต่อรองเป็นไปได้โดยยาก
ดังนั้น คว่ำ สมัคร เพื่อให้ได้ น.พ. สุรพงษ์ หรือ นายสมชาย ในทางยุทธศาสตร์แล้วก็ไม่ทำให้เกิดประโยชน์แต่อย่างใดทั้งสิ้น ทำไปก็เสียแรงเปล่า
ส่วนยุทธวิธีการยุบพรรค ก็จะไม่ได้ประโยชน์แต่อย่างใด เพราะรังแต่จะทำให้ประชาชนที่สนับสนุนพรรคพลังประชาชนเกิดความโกรธแค้น รวมทั้งไม่ส่งผลในทางปฎิบัติแต่อย่างใด เพราะข้อเท็จจริง คือ เมื่อพรรคพลังประชาชนโดนยุบไปแล้ว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ยังไม่ได้สิ้นสภาพไป แต่จะต้องหาพรรคสังกัดใหม่ให้ได้ภายใน 60 วัน เรื่องการหาพรรคสังกัดใหม่นั้นเป็นเรื่องที่ไม่ยากเย็นอะไรนัก และผมเชื่อว่าสมาชิกพรรคพลังประชาชนทั้งหมด จำนวน 233 คน จะพร้อมใจกันไปอยู่พรรคใหม่ ซึ่งก็จะทำให้พรรคนั้น กลายเป็นพรรคพลังประชาชน เวอร์ชั่น 2.0 ไปโดยปริยาย มันมีสภาพเหมือนแค่เปลี่ยนชื่อพรรคเท่านั้นเอง เหมือนกับ อดีตสมาชิกพรรค ทรท. เดิม ย้ายมาพรรคพลังประชาชน หนังรอบสองก็ฉายซ้ำเหมือนเดิมอีก
สำหรับกรรมการบริหารพรรค ที่จะถูกต้ดสิทธิ์ทางการเมืองนั้น พรรคพลังประชาชน เขามีประสบการณ์อันเจ็บปวดจากการโดนยุบพรรค ทรท. มาแล้ว กรรมการบริหารพรรค พปช. จึงมีจำนวนไม่มากนัก เพียงแค่ 35 คน และเป็น สส.เขต ประมาณ 10 คนเท่านั้น สส.ปาติ้ลิสท์ที่สิ้นสภาพไป ก็สามารถเลื่อนอันดับต่อไปมาแทนได้ ส่วน สส.เขตทั้ง 10 กว่าคนที่สิ้นสภาพไป ก็ต้องมีการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งคาดว่าพรรค พปช.ในชื่อใหม่ ก็จะได้กลับมาเหมือนเดิม เหมือนกับที่โดนแจกใบแดง ใบเหลือง ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนข้างแต่อย่างใด เพราะประชาชนได้เลือกข้างเรียบร้อยแล้ว เล่ห์กลอุบายอะไรจึงไม่ได้ผลทั้งสิ้น
ยุทธการยุบพรรค จึงกลายเป็นกระสุนด้านเสียแต่ต้นแล้ว
แต่หากทำอย่างนี้ เราจะได้นายกฯ โนเนมจากพรรค พปช.(ชื่อใหม่)มาแทน เพราะเมื่อเล่นกันอย่างนี้ โดยไม่คำนึงถึงประเทศชาติแล้ว ก็ต้องรับกับสภาพนายกฯ ที่โนเนมยิ่งกว่า คุณสมัคร อีก
ไล่ทักษิณไป ได้สมัครมาแทน
เมื่อยุบพรรค พปช. แล้ว นพ.สุรพงษ์ ก็จะโดนห้ามเล่นการเมืองไปด้วย
ตำแหน่งนายกฯ อาจตกถึง ดร.เฉลิม อยู่บำรุง อย่างช่วยไม่ได้
เมื่อชอบอย่างนี้ก็ตามใจ แต่ไม่มีทางที่อภิสิทธิจะได้ตำแหน่งนายกฯ อย่างแน่นอน
และหากเดินเกมยุบพรรค ก็ต้องยุบพรรคชาติไทย และมัชฌิมาฯ ไปด้วย เพราะกรรมการบริหารของทั้งสองพรรคนี้ก็โดนใบแดงเหมือนกัน นายบรรหาร ก็จะโดนต้ดสิทธิ์ทางการเมืองไปด้วย โอกาสเป็นตาอยู่ นั้นไม่มีเลย
แนวโน้มที่รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช จะอยู่ได้นาน ครบสี่ปีนั้น เป็นไปได้สูงทีเดียว
รัฐบาลนี้ตามรูปการแล้ว จะไม่ใช่รัฐบาลชั่วคราวแน่นอน ฝ่ายค้านและฝ่ายแค้นทั้งหลาย คงต้องทำใจแล้วละครับ
จาก Thai E-News