รู้สึกสมเพชเวทนากับคณะรัฐประหาร เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ที่ผ่านมา เสียเต็มประดา เพราะขณะนี้คนในเครือข่ายที่เคยอุ้มชู ไม่ว่าจะเป็นนักการสื่อสารมวลชน นักการเมือง นักเคลื่อนไหว ได้ออกมาว่ากล่าวติฉินนินทากันเองเสียแล้ว
“การปฏิวัติลวงโลก” บ้าง
“การปฏิวัติต้มตุ๋น” บ้าง
“รัฐประหารปาหี่” บ้าง
“มวยล้มต้มคนดู” บ้าง
“ซูเอี๋ยทางการเมือง” บ้าง
หลังจากที่ หัวหน้าคณะก่อการ บอกว่าได้ โทรศัพท์ไปพูดคุยกับคนที่ตัวเองโค่นอำนาจเขา กันตั้งนานแล้ว
“มีคนกลางติดต่อประสานให้ และยื่นโทรศัพท์ให้เขาพูด เป็นการพูดคุยกันอย่างพี่น้อง เพราะเป็นเตรียมทหารเหมือนกัน โดยไม่มีเงื่อนไขเรื่องการเมือง” คือสิ่งที่หัวหน้าคณะก่อการรัฐประหาร ได้เปิดเผยกับประชาชนเป็นครั้งแรก
และเรียกร้องต่อสื่อมวลชนที่ถามข่าวในทำนองตัดพ้อต่อว่า “มวยล้ม” “ซูเอี๋ย” “ปฏิวัติสูญเปล่า” ด้วยการอ้างว่า "อย่าไปตีความอย่างนั้นสิ นักข่าวไปเขียนอย่างนี้ไปคิดอย่างนี้ได้ยังไง เขียนให้เป็นเรื่องความสมัครสมานสามัคคีของชาติบ้านเมือง"
นัยที่สำคัญกว่านั้นคือ การออกอาการเริ่มสำนึกผิดในการก่อการปฏิวัติรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่ผ่านมา โดยเรียกร้องให้ “กองทัพถือเป็นบทเรียน”
อันที่จริง กองทัพไทยควรจะถือเอาเหตุการณ์ เดือนตุลาคม เหตุการณ์เดือนพฤษภาคม เป็นบทเรียนกันมาตั้งนานแล้ว จะได้ไม่มี 19 กันยายน 2549 เขียนเอาไว้สอนสั่งกันใน โรงเรียนนายร้อย 3 เหล่าทัพ อันประกอบไปด้วย โรงเรียนนายร้อย จปร. โรงเรียนนายเรือ โรงเรียนนายเรืออากาศ และโรงเรียนนายร้อยตำรวจ โรงเรียนเสนาธิการทหาร ปลูกฝังสอนสั่งกันกระทั่งโรงเรียนนายสิบ ด้วยยิ่งดีใหญ่ เพื่อให้เขาเหล่านั้นรู้ว่า ไม่มีอำนาจใดในโลกหล้า จะยิ่งใหญ่กว่าปวงประชามหาชน
ฝ่ายเผด็จการ ที่สุดจะต้องพบกับจุดจบแห่งความพ่ายแพ้ต่อ ฝ่ายประชาธิปไตย
ทหารควรจะเป็นทหารประชาธิปไตย ไม่ควรเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมืองด้วยการทำปฏิวัติรัฐประหารอีก
ปัญหามีอยู่ว่า โรงเรียนที่ผลิตนายทหารเหล่านี้ จะกล้าพอที่จะยอมรับความจริงหรือไม่
บ้านเมืองของเรา ไม่เจริญ ประชาชนคนยากจนเต็มแผ่นดิน อดอยากปากแห้งอยู่ในขณะนี้ ทั้งที่เรามีเป้าหมายเมื่อ หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ว่าเราจะแข่งกับ ญี่ปุ่น แล้วเราลดชั้นมาเรื่อยๆ ฮ่องกง สิงคโปร์ เกาหลี วันนี้ตกชั้น ตกกระป๋อง ไปแข่งกับ เวียดนาม เสียแล้ว
เพราะเราเสียเวลากับ คณะนายทหาร ที่ มัวเมา ในอำนาจ ยึดอำนาจการปกครองไปจากพลเรือน ยึดอำนาจการปกครองไปจากทหารกันเอง อาศัยใบบุญกลไกประชาธิปไตยมานั่งแถวหน้ากุมอำนาจรัฐ
ทั้งที่ไม่ได้มีที่มาจากประชาชน ไม่ได้มีที่มาที่มีการกลั่นกรองเลยแม้แต่น้อย
คนมีขุมกำลัง ไม่ได้หมายความว่าจะมีปัญญาความรู้ในด้านการบริหารชาติบ้านเมืองให้พัฒนาเจริญก้าวหน้าไปได้เสียเมื่อไร
ประเทศไทยของเราที่ว่าเป็นประชาธิปไตยมา 60 ปี มองย้อนกลับไปเราจะพบว่า ทหารครองอำนาจมากกว่าพลเรือนกว่า 80% ทั้งทางตรงและทางอ้อม
วันนี้ บ้านเมืองเปลี่ยนแปลงไปแล้ว แต่ยังมี กากเดนเผด็จการ คอย ซุ่มเงียบ เพื่อรอจังหวะและ โอกาสเปิดช่อง เปิดทาง เปิดรู ให้ทหารเข้ามาอยู่ ทั้ง สื่อสารมวลชน นักการเมือง เอ็นจีโอ ศักดินาชั่วช้า อำมาตย์สามานย์ และทุนเก่า ผนึกกำลังกันอยู่มิเสื่อมคลาย
ตราบใดที่ยังมีพวกเหล่านี้เชิดหน้าชูตาอยู่ในสังคม ฟันธงได้ว่า ปัญหานี้ยังไม่ยุติเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เพราะคนเหล่านี้ไม่หวังอะไร นอกจากจะ หวังผลประโยชน์เฉพาะหน้าเท่านั้นเอง
บ้านเมืองจะพัฒนาไปได้ ต้องมาหยุดชะงัก จะเดินไปข้างหน้า ต้องมา หยุดชะงัก ขัดแข้งขัดขา กันแบบนี้ไปอีกนานไหม
แล้วต่อไปเราจะไปแข่งกับใคร เมื่อเราลดชั้นคู่แข่งขันของเราลงมาเรื่อยๆ แบบนี้
ดังนั้นเราต้อง จับจ้อง ตรวจสอบ กลุ่มคนที่จ้องคุกคามประชาธิปไตย ทั้งหลาย ให้จงหนัก เพราะเขายังไม่หยุดพฤติกรรมคุกคามประชาธิปไตย ยังอี๋อ๋อกับเผด็จการทหารมาครอบครองประเทศ พวกเขาพร้อมจะเปิดประตูให้เข้ามาปล้น...ประชาธิปไตย ได้ทุกเวลา เหมือนครั้งก่อนที่ทำมา
ถึงเวลาที่เราควรจะขุดรากถอนโคนกันสักทีดีไหม
โต๊ะข่าวประชาทรรศน์