WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Sunday, February 3, 2008

ไม่ทิ้งบทเก่า เผชิญวิกฤติใหม่ [3 ก.พ. 51 - 00:23]

นายกรัฐมนตรี คนที่ 25 ของประเทศไทย

นายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน พูดกับประชาชนคนไทยทั้งประเทศ หลังจากรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นนายกฯ

ขอโอกาส ขอกำลังใจจากผู้คนในสังคม ในการเข้ามาทำงานเป็นหัวหน้ารัฐบาลเพื่อแก้ไขปัญหาของประเทศชาติ

ที่กำลังเผชิญปัญหารุมเร้าอย่างหนัก ทั้งปัญหาด้านเศรษฐกิจ ปัญหาการเมือง และปัญหาด้านความมั่นคง

คุยอย่างมั่นใจว่า ด้วยประสบการณ์ในชีวิตการเมืองที่โชกโชน ผ่านการดำรงตำแหน่งต่างๆมาแล้วมากมาย เคยเป็นรัฐมนตรีมาหลายกระทรวง เคยเป็นรองนายกรัฐมนตรีมาแล้วหลายสมัย พร้อมที่จะดูแลบ้านเมือง

มาครั้งนี้เมื่อได้นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี นายสมัครเปรียบเทียบว่า เหมือนกับการขับรถยนต์ ถ้าขับรถเป็นแล้ว เพียงแต่ถามว่า พวงมาลัยอยู่ตรงไหน เกียร์กระปุก หรือเกียร์ออโตเมติก ดูเบรก ดูน้ำมันเครื่อง ดูน้ำมันเต็มถัง ก็ขับออกไปได้ในทุกสภาพถนน

จึงขอเวลา ขอโอกาส จากสังคมในการทำงาน โดยยืนยันจะทำให้บ้านเมืองเดินหน้าไปได้อย่างแน่นอน

นี่คือ คำประกาศของนายกรัฐมนตรี ผู้ทำหน้าที่ “โชเฟอร์ ประเทศไทย” ขับเคลื่อนนำพาประเทศชาติไปข้างหน้า

ทั้งนี้ เมื่อหันกลับมาดูโครงสร้างของรัฐบาลผสม 6 พรรค ภายใต้การนำของนายสมัคร ประกอบด้วย

พรรคพลังประชาชน 233 เสียง พรรคชาติไทย 34 เสียง พรรคเพื่อแผ่นดิน 24 เสียง พรรคมัชฌิมาธิปไตย 11 เสียง พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา 9 เสียง และพรรคประชาราช 5 เสียง รวมเบ็ดเสร็จ 316 เสียง

ถือได้ว่าเป็นรัฐบาลผสมที่มีเสถียรภาพในสภาฯแน่นปึ้ก

เพราะต้นทุนของพรรคพลังประชาชน 233 เสียง นับว่าสูงมาก เพราะขาดอยู่แค่ 7 เสียง ก็จะถึงกึ่งหนึ่งของจำนวน ส.ส.ทั้งสภาฯ 480 คน

แม้จะมีพรรคร่วมรัฐบาลพรรคหนึ่งพรรคใดถอนตัวออกไป ก็ไม่ส่งผลสะเทือนต่อสถานภาพความเป็นเสียงข้างมาก

ไม่กระทบต่อการเป็นรัฐบาล

ยกเว้นแต่พรรคชาติไทย พรรคเพื่อแผ่นดิน พรรคมัชฌิมา-ธิปไตย และพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา จะถอนยวงออกไปพร้อมกัน เหลือแค่พรรคประชาราช 5 เสียง ถึงจะกระทบต่อเสถียรภาพความเป็นรัฐบาล

ซึ่งในความเป็นจริงทางการเมืองที่ยึดโยงกันด้วยการเกลี่ยผลประโยชน์ ปรากฏการณ์ที่พรรคร่วมรัฐบาลจะถอนยวงออกไปพร้อมกันทีเดียวถึง 4 พรรค

เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากมาก

เพราะฉะนั้น รัฐบาลผสมชุดนี้ จึงไม่น่ามีปัญหาเรื่อง เสถียรภาพเสียงในสภาฯ

ส่วนเสถียรภาพนอกสภา ก็ขึ้นอยู่กับผลงานของรัฐบาล และพฤติกรรมของคนในคณะรัฐบาลว่าจะทำให้ ผู้คนในสังคมเคลือบแคลงสงสัยหรือไม่

ถ้ารัฐบาลมุ่งทำงานเพื่อประโยชน์ของประชาชนโดย ส่วนรวมจริงๆ ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร

เพราะสังคมตั้งความหวังและตั้งตารอให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเข้ามา แก้ไขปัญหาของประเทศเป็นหลัก

ส่วนที่มีการพูดกันปาวๆว่า มีมือที่มองไม่เห็น คอยขัดขวางรัฐบาลชุดนี้ ก็ไม่น่าจะมีน้ำหนักอะไรมากนัก

เพราะผลการเลือกตั้งที่ออกมา ชัดเจนว่า

พรรคพลังประชาชนสามารถกวาดที่นั่งเข้ามาได้มากถึง 233 เสียง จนหัวหน้าพรรคได้ก้าวขึ้นสู่เก้าอี้นายกฯ และกำลังจะมีรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ

แสดงว่า มือที่มองไม่เห็น

ไม่ได้มีอำนาจอะไรมากมาย

เพราะถ้ามีอำนาจจริง พรรคพลังประชาชนคงไม่ได้ ส.ส.เข้ามามาก จนได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

ที่สำคัญ เมื่อพรรคพลังประชาชนผ่านกระบวนการเลือกตั้งตามครรลองประชาธิปไตย ผ่านการเอกซเรย์จากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)

จนได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลในขณะนี้ ก็ไม่ จำเป็นที่จะต้องกังวลกับเรื่องมือ ที่มองไม่เห็นอีกต่อไป

อย่างไรก็ตาม เมื่อมองลึกลงไปในสภาพความเป็นจริงของรัฐบาลผสมชุดนี้ ก็เป็นที่รู้ๆกันว่า

พรรคพลังประชาชนที่เป็นแกนนำรัฐบาล เป็นพรรคการเมืองที่แปลงร่างมาจากพรรคไทยรักไทย

เหนืออื่นใด ความเคลื่อนไหวต่างๆของพรรคพลังประชาชน เริ่มตั้งแต่การเข้ามาเทกโอเวอร์พรรคพลังประชาชน การวางตัวนายสมัครเป็นหัวหน้าพรรค การทำศึกเลือกตั้ง วางยุทธ-ศาสตร์ หาเสียง หาคะแนน การส่งกำลังบำรุง ส่งน้ำเลี้ยง

ล้วนมีความเกี่ยว โยงกับคนที่ฮ่องกงทั้งสิ้น

แน่นอน ในสถานการณ์ที่เจ้า ของพรรคพลังประชาชนตัวจริง ติดชนักบ้านเลขที่ 111 ถูกเว้นวรรคทาง การเมือง 5 ปี ในคดี ยุบพรรคไทยรักไทย

ไม่สามารถบริหารจัดการอะไร ภายในพรรคการเมืองอย่างเปิดเผยได้ ก็จำเป็นที่จะต้องใช้ “หุ่นเชิด”

ทั้งหัวหน้าพรรคหุ่น เลขาธิการพรรคหุ่น

อย่างไรก็ตาม ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของการจัดตั้งรัฐบาล โดยเฉพาะในช่วงที่มีการเจรจาต่อรองโควตากระทรวงและตำแหน่งรัฐมนตรี

จากภาพความเคลื่อนไหวที่ปรากฏเป็นข่าว บรรดาแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลเกือบทุกพรรค รวมไปถึงแกนนำกลุ่มก๊วนภายในพรรคพลังประชาชน

ต่างก็ต่อสายตรง บินไปพบหารือกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ที่เกาะฮ่องกง

ทำให้มองกันได้ว่า การกำหนดโควตาเก้าอี้ กำหนดตำแหน่งรัฐมนตรี ในรัฐบาลชุดนี้ คนตัดสินใจที่แท้จริง คือ “ทักษิณ”

การจัดตั้งรัฐบาลในครั้งนี้ จึงถูกมองว่าไม่ใช่กระบวน การแบบปกติ เพราะต้องไปต่อรองกับผู้ถือดุลอำนาจถึงฮ่องกง

แม้หน้าฉากจะมีตัวแทนอำนาจที่เป็นหัวหน้าพรรคอยู่ในเมืองไทย แต่ก็ไม่สามารถให้คำตอบแบบทันทีทันใดได้

เพราะต้องรอการตัดสินใจจากเจ้าของพรรคตัวจริง

อย่างในกรณีที่พรรคพลังประชาชนมีมติมอบอำนาจให้นายสมัครเปลี่ยนโผรายชื่อ รัฐมนตรีของพรรคได้

แต่ในความเป็นจริง นายสมัครก็จะต้องปรึกษาหารือกับเจ้าของพรรคก่อน ไม่สามารถตัดสินใจได้เองโดยลำพัง

นี่คือสภาพความเป็นจริงที่อยู่หลังฉาก

ขณะเดียวกัน การจัดโผ ครม.ในรัฐบาลชุดนี้ ก็มีร่องรอย ให้เห็นว่าแกนนำกลุ่มก๊วนที่ติดล็อกบ้านเลขที่ 111

ต่างส่งหุ่นเชิดของตัวเอง เข้ามาเป็นรัฐมนตรี

แกนนำกลุ่มอีสาน กลุ่ม กทม.ในพรรคพลังประชาชน ยื่นเงื่อนไขขอรับรางวัลก็ไปยื่นกันที่ฮ่องกง เสนอตัวบุคคลมาเป็นรัฐมนตรีต่ำกว่ามาตรฐาน ทำให้เจ้าของพรรค ถึงกับส่ายหัว

ที่หวังว่าจะได้รัฐบาลที่มีภาพสวย ก็กลายเป็นประเภท รัฐบาลภาพยี้

แต่เจ้าของพรรคก็ต้องปล่อยไป

เพราะเมื่อใช้เขาไปรบชนะแล้ว ก็จำเป็นต้องให้ รางวัล

นี่คือ สภาพความเป็นจริงในการจัดตั้งรัฐบาลคราวนี้

“ทีมข่าวการเมืองไทยรัฐ” ขอบอกว่า จากปรากฏการณ์ทั้งหมด มันสะท้อนว่า ยังไงๆรัฐบาลผสมที่มีพรรคพลังประชาชนเป็นแกนนำ ก็สลัดคราบพรรคไทยรักไทยไม่พ้น

เพราะแรงขับเคลื่อนมาจากคนเดิมๆ

ที่สำคัญจากปรากฏการณ์ที่พรรคไทยรักไทยถูกยุบไปนั้น ถือว่าเป็นบทเรียนสำคัญให้กับพรรคพลังประชาชนในวันนี้ว่า

มีจุดอ่อน จุดแข็งอย่างไร

ถ้าลดจุดอ่อน เพิ่มจุดแข็ง

ก็จะสามารถเปลี่ยน วิกฤติให้เป็นโอกาส เป็นประโยชน์ต่อการทำงานเพื่อประเทศชาติ

เพราะ ถ้าในยุครัฐบาลพรรคไทยรักไทยไม่ มีสิ่งดีๆ

การแปลงสภาพมาเป็นพรรคพลังประชาชนในวันนี้ ก็คงไม่ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนอย่างมากมาย

ทั้งนี้ต้องยอมรับว่า จุดแข็งของพรรคไทยรักไทย คือ

เรื่องการบริหารจัดการ ทำงานทำการทันอกทันใจ เข้าถึงประชาชนระดับรากหญ้า

มีความเป็นอินเตอร์ สามารถรับมือปัญหาของประเทศในระดับสากลได้เป็นอย่างดี

ส่วนจุดอ่อน ก็คือ ขาดธรรมาภิบาลในการแต่งตั้งบุคคล เห็นแก่พวกพ้อง มีผลประโยชน์ทับซ้อน มีปัญหาทุจริตคอรัปชันเชิงนโยบาย

มาถึงวันนี้ ถ้าคนที่เป็นหุ่น และคนเชิดหุ่น ในรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคพลังประชาชน ซึ่งเป็นคนชุดเดิมจากพรรคไทยรักไทย

ลดจุดอ่อนที่เคยเกิดขึ้นในพรรคไทยรักไทย

แล้วมาขยายจุดแข็ง เพื่อให้ประเทศเดินหน้าไปได้

โชเฟอร์ประเทศไทยอย่างนายสมัคร ก็จะสามารถเดินหน้าขับเคลื่อนทำงานไปได้ โดยไม่ต้องกลัวว่าจะมีอุปสรรคมาขวางทาง

แต่ถ้ามีพฤติกรรมในทางกลับกัน

เน้นลดจุดแข็ง แต่เพิ่มจุดอ่อน

รัฐบาลก็อาจเจอวิกฤติ ถึงขั้นยางแตก เครื่องน็อกได้ง่ายๆ.

ทีมการเมือง

ข่าวการเมือง(วิเคราะห์)