ก็ดีแล้วที่จะเก็บเอาไว้ก่อนแล้วค่อยไปว่ากันทีหลังเพราะยังมีปัญหาเร่งด่วน ที่จะต้องเยียวยาแก้ไข ยิ่งมีรัฐมนตรี “ขี้เหร่” อย่างที่นายกฯ บอกเองก็อย่าไปแตะไปยุ่งกับเรื่องที่ยังไม่ควรยุ่ง
การแก้ไขรัฐธรรมนูญแม้จะมีความพยายามที่ทำให้ดำเนินการได้โดยง่าย แต่ก็เพราะเป็น รัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายแม่บทของประเทศ การแก้ไขก็ไม่ง่ายสักครั้ง เนื่องจากความเห็นของสังคมที่ต่างกัน
ความต้องการที่ต่างกัน ความเห็นที่ต่างกัน ผลประโยชน์ที่ต่างกัน มันก็เลยยุ่ง แม้แต่รัฐธรรมนูญฉบับที่ใช้อยู่ในปัจจุบันจะเกิดขึ้นมาจากคณะทหารที่เข้ามายึดอำนาจ แต่ก็มิอาจจะกำหนดสาระได้ดังใจ
การเขียนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มีขั้นตอนและวิธีการที่ไม่ต่างไป จากการยึดอำนาจ ทุกครั้งที่ผ่านมา แต่ครั้งนี้ดูเหมือนว่าจะเปิดกว้างและได้สิทธิในการบรรเลง สาระรัฐธรรมนูญได้มากขึ้น และความเห็นก็ต่างกันมากขึ้น
กว่าจะคลอดออกมาได้ หากไม่มีเงื่อนเวลากำหนดคงจะยุ่งพิลึก
จริงๆแล้วหากพิจารณาจากเนื้อหารัฐธรรมนูญจนทำให้เกิดเปลี่ยนแปลง ไปค่อนข้างมาก ทั้งวิธีการเลือกตั้ง การได้มาซึ่งส.ส.ทั้งระบบเขต และระบบสัดส่วน การได้ซึ่งส.ว. ที่แยกเป็นเลือกตั้งส่วนหนึ่ง สรรหาส่วนหนึ่ง ส.ส.มีอิสระมากขึ้น พรรคการเมืองไม่เข้มแข็ง รัฐบาลไม่เข้มแข็ง
การคุมเข้มนักการเมืองทั้งระบบ คุณสมบัติ การตรวจสอบ ถูกดำเนินการอย่างเข้มข้น และผูกพันไปถึงพรรคการเมืองในสังกัดที่เรียกว่า “ยุบพรรค”
จริงๆแล้วก็มีข้อดีหลายเรื่อง แต่ในเมื่อไปตั้งเป้าหมายและต้องการผลลัพธ์อย่างที่ต้องการ นั่นคือหยุดระบอบทักษิณเป็นด้านหลัก
“คำตอบ” ที่ออกมาคือไม่ใช่และไม่ได้ผล
เพราะการเลือกตั้งที่ผ่านมาปรากฏว่าพรรคพลังประชาชนชนะเลือกตั้ง และได้เข้ามาจัดตั้งรัฐบาล โดยมีพรรคการเมืองหลายพรรคเป็นรัฐบาลผสม ที่เกิดปัญหาขัดแย้งในเรื่องเสถียรภาพมากพอสมควร
แค่แบ่งกระทรวงยังยุ่ง แต่งตั้งรัฐมนตรี นายกฯยังไม่มีอำนาจจัดการได้เพราะมีการขู่ถอนตัว
ทำได้แค่ฟ้องสังคมว่ามีความ “ขี้เหร่” เกิดขึ้นเพราะเหตุใด
จริงๆแล้วการแก้ไขรัฐธรรมนูญดูจะเป็นความเห็นพ้องของนักการเมืองทุกพรรค ไม่ว่าจะฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้านอยู่ที่ประเด็นและแนวทาง ซึ่งจริงๆแล้วหากนักการเมือง เห็นตรงกันว่าควรจะแก้ไขก็คงไม่ยาก
แต่ที่จะยากก็ตรงที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ใช่มีแค่นักการเมืองเท่านั้น แต่ยังต้องมีวุฒิสมาชิก และคนในสังคมเกี่ยวข้องได้
แม้นายกฯ จะต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญแต่ก็คงต้องเก็บเอาไว้ก่อนเพราะเปิดฉากรัฐบาลแล้ว ดันหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นประเด็นก็เท่ากับว่า “หาเหาใส่ตัว” ไม่มีผิด
แม้รัฐบาลชุดใหม่ต้องการกำลังใจ ต้องการพิสูจน์ตัวเอง ก็ไม่ยากหรอกครับ... เดินหน้าทำงานพิสูจน์เพื่อลบคำสบประมาทได้รับความเชื่อมั่นมากขึ้นก็เท่านั้นเอง แต่หากปล่อยให้นักการเมืองภายในพรรคยังคิดจะย้อนยุคกลับไปสู่อำนาจแบบเดิมๆ
สร้างความปั่นป่วนให้กับสังคมเกิดปัญหาความขัดแย้งขึ้นมาอีก ที่อ้างความปรองดอง แต่วิธีการดูเหมือนจะท้าทาย และเช็กบิลกันมากกว่า
ทำไปทำมาเกรงว่านายกฯ กับคนในพรรคจะฟัดกันเองเสียล่ะมากกว่า เพราะแม้ว่าวันนี้จะมาร่วมชายคาการเมืองกันได้เพราะคนชื่อ “ทักษิณ” เพราะได้ประโยชน์ร่วมกันแต่ในความคิดที่ต่างกันมาแบบที่เรียกว่า “คนละขั้ว” ต้องมาทำงานการเมืองร่วมกัน
อีกไม่นานหรอกครับ... “รังแตก” แน่!!!
"สายล่อฟ้า"
คอลัมน์ กล้าได้กล้าเสีย