ปฏิวัติ! ใครที่พูดคำๆ นี้...ได้ หากไม่มีข้อมูลหลักฐานมายืนยันชัดแจ้งแล้ว
ต้องถือว่ามัน “สุ่มเสี่ยง” เอามากๆแต่ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ก็โพล่งคำๆ นี้ออกมาจนได้“มีคนยังไม่เลิก ยังวิ่งเต้นกันอยู่ ยังนัดประชุมกันอยู่ ยังคิดว่าปฏิวัติกันได้อยู่ แต่ไม่วิตกทุกข์ร้อน เขาคิดว่ายังมีการเปลี่ยนแปลงกันได้ เขาก็คิดทำกัน แต่มันก็ไม่มีเหตุผล ผมถึงไม่ประเมิน ใครเป็นคนทำก็น่าจะอายบ้าง”นายสมัคร ให้สัมภาษณ์นักข่าวที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 28 มี.ค.แถมยังบอกด้วยซ้ำว่า...ได้รับทราบจากเอกสารที่แทรกมากับเอกสารการประชุม
ครม. เป็นเอกสารที่เขียนด้วยลายมือ แจ้งเตือนว่ามีขบวนการจ้องล้มล้างและทำลายรัฐบาลจริงๆโดยมั่นใจว่า...ยังมีขบวนการที่คอยล้มล้างรัฐบาลอยู่ ไม่เพียงเท่านั้น นายสมัคร ยังชี้ด้วยว่า...“เหยื่อการเมือง” อย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หมดไปแล้ว เหลือแต่ตัวเขาที่เป็น “เหยื่อแห้ง” และ “ไม่มีราคา”ก่อนหน้านั้นเพียงวันเดียว (27 มี.ค.) ก็มีนักข่าวบางคนหยิบคำว่า ปฏิวัติ ไปถามยัดใส่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่เดินทางมาเป็นประธานพิธีเปิดโครงการสานใจไทยสู่ใจใต้ รุ่นที่ 8 ณ สโมสรทหารบก
ไม่ใช่ใครที่ไหน วาสนา นาน่วม เจ้าของหนังสือ “ลับ ลวง พราง” นั่นเองเธอยิงคำถาม “แทงใจดำ” ว่า...หลายคนสงสัยว่าท่าน (พล.อ.เปรม) อยู่เบื้องหลังการปฏิวัติ?เท่านั้นเอง พล.อ.เปรม ก็หยุดเดิน ก่อนจะหันมาตอบด้วยอารมณ์เซ็งๆ ว่า...“พวกคุณคิดกันไปเอง ผมไม่เคยทำ”เมื่อถูกกระหน่ำด้วยคำถามและคนถามเดิมๆ พล.อ.เปรม ก็ตอบด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือว่า...“คุณวาสนา คุณต้องรู้ว่าผมไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องอย่างนั้น ทุกคนต้องรู้อย่างนั้น ผมไม่ได้เกี่ยวข้องเรื่องการเมืองและเรื่องใดๆ”
ทำไม...สถานการณ์อย่างนี้ จึงมีคนหยิบเอาคำว่า ปฏิวัติ! ออกมาพูด???
ต้องการสร้างราคาให้กับตัวเอง หรือเพราะต้องการโปรโมตหนังสือ!!!
ถ้าเป็นจริง ก็ต้องบอกว่า...คนที่เปิดประเด็นเรื่องปฏิวัติได้ประโยชน์เต็มๆ แต่ประเทศชาติเสียหายอย่างมากมายไม่เพียงภาพลักษณ์และความมั่นใจของนักลงทุนต่างชาติ แม้แต่ระบบเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุน ก็พลอยเสียหายไปด้วย การที่ “คนต้นทุนต่ำ” แถมยังเป็น “เหยื่อแห้ง” อย่าง นายสมัคร ได้ออกมาตอกย้ำถึงความพยายามของคนบางกลุ่ม ที่ยังหวังจะเดินหน้า ปฏิวัติ! นั้นเขากำลังคิดอะไร???สิ่งที่ได้มันคุ้มเสียหรือไม่???
ก็ต้องบอกว่า...ถ้าไม่คุ้ม แล้วจะออกมาพูดทำไมกัน!!!หากยังจำกันได้ เป็น “บางกอกทูเดย์” ที่ย้ำมาตลอดว่า...มีความพยายามจากใครบางคน ที่ต้องการจะเปลี่ยนตัว นายกรัฐมนตรีด้วยเหตุผล...มิอาจจะสั่งการใดๆ ได้“มันพูดไม่รู้เรื่อง...มันไม่ฟังใครอีกแล้ว” คือ คำยืนยันจากคนในเครือข่าย ที่ยืนยันกับ “บางกอกทูเดย์” ว่า...มีประโยคนี้เกิดขึ้นจริงๆไม่เพียงแค่นั้น ร่องรอยความคิดของการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 ระหว่าง...นายสมัคร กับ พรรคพลังประชาชน ก็บ่งบอกถึงนัยสำคัญอะไรบางอย่าง บนเส้นแบ่ง
ความเป็น “เอกภาพ” ระหว่างกันได้ดีทีเดียว“คนเสื่อผืนหมอนใบ” อย่าง...นายสมัคร ที่ถือว่า...“ฟลุค” เมื่อถูกเลือกให้เป็น...หัวหน้าพรรคพลังประชาชน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า...จะทำอะไรตามใจชอบโดยไม่ฟังเสียงจากพรรคฯ หรือใครบางคนได้เมื่อ นายสมัคร มีความเป็น “ปัจเจกบุคคล” สูงขนาดนั้น ก็ไม่แปลกหรอก ถ้าใครบางคนที่ว่า...วางแผนคิดจะเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีทางเดียวที่จะสร้าง “เกราะ” ป้องกันตัวอย่างเข้มแข็งและมั่นคง ก็คือ...ต้องเป็นหนึ่งเดียวกับกองทัพ
คนอย่าง นายสมัคร ไม่ใช่ “แก่เฟอะฟะ” แต่เป็น “แก่เก๋า” รู้ว่าจะต้องทำอะไร? ช่วงไหน?อย่าลืมว่า...นายสมัคร คนนี้ คือ ผู้ที่ “ล้ม” ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เจ้าของเดิมในพื้นที่เขตดุสิต (พื้นที่ทหาร) ในการเลือกตั้ง ส.ส. ในอดีต และยึดพื้นที่ทหารเป็นเขตเลือกตั้งของตัวเอง นับแต่นั้นมาตลอดนั่นก็แสดงว่า...นายสมัครกับทหารและครอบครัวของทหาร ผูกพัน...แน่นเหนียวกันขนาดไหนประวัติศาสตร์ (เมื่อปี 2325 หรือกว่า 225 ปีที่ผ่านมา) นับแต่มีตำแหน่ง…สมุหพระ
กลาโหมและเสนาบดีกระทรวงกลาโหม กระทั่ง เปลี่ยนชื่อมาเป็น รมว.กลาโหม เมื่อคราวการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ปี 2475 นั้นมีเพียงพลเรือน 3 ราย ที่ได้นั่งเก้าอี้ตัวนี้คนแรก เมื่อปี 2519...ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรีควบ รมว.กลาโหม แต่เป็นได้แค่ 40 วัน ก็ถูก พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ ทำการยึดอำนาจ คนที่ 2 เมื่อปี 2540…นายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรีควบ รมว.กลาโหม แต่เพราะมีบทเรียนในอดีต ทำให้นายชวนเลือก นายทหาร “คีย์แมน” มาช่วยงาน
กอปรกับภาพลักษณ์ของทหารหลังเหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬ” ไม่ค่อยดีนัก
นายชวนจึงอยู่รอดปลอดภัย มาจนถึงสิ้นสุดอายุขัยของรัฐบาล ช่วงต้นปี 2544
นายสมัคร ก็คือพลเรือนคนที่ 3 ที่ครอบครองเก้าอี้ตัวนี้ ภายใต้ปัญหาความขัดแย้งทางความคิดและการกระทำของผู้คนในสังคมที่ค่อนข้างรุนแรง และอิทธิพลของทหารภายหลังการปฏิวัติรัฐประหาร “19 กันยายน” ยังคงดำรงอยู่อย่างเข้มข้น
นายสมัคร รู้ “จุดอ่อน” ของกองทัพ ดีว่า...พวกเขาจำเป็นจะต้องได้รับจัดสรรงบประมาณแผ่นดิน ในอัตราที่สูงกว่า 1.5% ของจีดีพี เพื่อนำเงินไป...จัดซื้อ จัดหา และจัดสร้างอาวุธยุทโธปกรณ์ เพื่อการปกป้องประเทศชาติเพราะสิ่งนี้ คือ ภารกิจหลักของทหารในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทุกนายแผนการเอาใจทหาร ด้วยการเพิ่มงบประมาณแผ่นดินให้กับกระทรวงกลาโหม กำลังก่อตัวขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม
กอปรกับ...เป็นนายสมัครเอง ที่มักจะหอบหิ้วเอา พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. และอดีตผู้ช่วยเลขาธิการ คมช. ไปไหนต่อไหน ทุกครั้งของการเยือนต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น...ลาว กัมพูชา พม่า สิงคโปร์ และล่าสุด อินโดนีเซียกระทั่ง มีการกระเซ้ากันว่า...เพราะนายสมัครกลัว พล.อ.อนุพงษ์ จะทำการปฏิวัติ จึงต้องหอบหิ้วกันไป แทนที่จะเป็น...พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผบ.สูงสุด หรือ พล.อ.วินัย ภัททิยกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม
ทั้งหลายทั้งปวงนั้น คือ ความ “เก๋า” ที่ฝังอยู่ในตัวของนายสมัครผู้ที่รู้ว่า...ควรจะทำอะไร? ในช่วงเวลาใด?การออกมาพูดเรื่อง ปฏิวัติ! ก็เพื่อจะหาเหตุผลเพิ่มงบประมาณให้กับกระทรวงกลาโหม ซึ่งนอกจากจะช่วยลบ “จุดอ่อน” ของกองทัพแล้ว ยังจะสร้างราคาให้กับตัวคนพูด เพื่อต่อรองอำนาจกับใครบางคน ได้เป็นอย่างดีอีกด้วยนี่คือ “ต้นตอ” แท้จริง ของที่มาการโพล่งคำว่าปฏิวัติ ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา!!!