อุตส่าห์ลุ้นอยู่เสียหลายชั่วโมงว่าสถิติผู้มาใช้สิทธิ์ใช้เสียงในการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ครั้งนี้ จะลบสถิติครั้งก่อนๆหรือเปล่า โดยเฉพาะคะแนนเสียงของ “เต็งหนึ่ง” อภิรักษ์ โกษะโยธิน ที่เอ็กซิทโพลทุกสำนักบอกว่าจะเข้าป้ายอย่างท่วมท้นนั้นจะเกินล้านเสียงหรือไม่? เอาเข้าจริงๆปรากฏว่า เกิดอาการลุ้นค้างไปตามระเบียบ เพราะจากผู้มีสิทธิ์ 4,086,604 คน มีผู้มาใช้สิทธิ์ 2,214,320 คน หรือ 54.18 เปอร์เซ็นต์...ต่ำกว่าคราวที่แล้ว ซึ่งมีผู้ใช้สิทธิ์ประมาณ 65 เปอร์เซ็นต์ คุณอภิรักษ์ได้ไปทั้งสิ้น 991,018 คะแนน...ไม่ถึงล้านคะแนน และยังไม่ทำลายสถิติที่ คุณ สมัคร สุนทรเวช เคยทำไว้ 1 ล้านเศษๆ มีเสียงบ่นจาก กกต.กรุงเทพมหานครว่าผิดหวังเพราะไม่เป็นไปตามเป้า 70 เปอร์เซ็นต์ที่ตั้งไว้ แถมยังต่ำกว่าคราวที่แล้ว พอบ่นเสร็จก็วิเคราะห์กันต่อเลยว่า เหตุที่ไม่เป็นไปตามเป้าเพราะผู้คน เบื่อการเมือง สำหรับผมแม้จะผิดหวังที่ลุ้นไม่ขึ้น และไม่เป็นไปอย่างที่ตั้งใจไว้ แต่ก็ถือว่าโอเคครับ สำหรับจำนวนและเปอร์เซ็นต์ที่ประชาชนออกมาใช้สิทธิ์ แต่ถ้าจะมองว่า เหตุที่ผู้ไปใช้สิทธิ์ใช้เสียงคราวนี้ลดน้อยลง เพราะเหตุทางการเมือง ผมก็ว่าน่าจะมีส่วนมาจากข่าวการจับกุมมหาจำลองไม่น้อยทีเดียว เพราะประมาณ 8 โมงเศษๆของวันเลือกตั้งข่าวโทรทัศน์ก็ออกมาแล้วว่า ตำรวจเข้าควบคุมตัวมหาจำลองหลังจากที่ท่านไปใช้สิทธิ์ใช้เสียงในการเลือกตั้งที่เขตของท่าน ไม่ว่ามหาจำลองจะตั้งใจออกไปให้ถูกจับ อย่างที่มีข้อสันนิษฐานจากบางฝ่าย หรือว่าเป็นการจับตามหน้าที่ของตำรวจอย่างที่นายกรัฐมนตรีกล่าวกับผู้สื่อข่าว เมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว ก็ย่อมจะทำให้ประชาชนที่ทราบข่าวเกิดความกังวล และคาดการณ์ไปต่างๆนานา ผมถึงได้มองคนละมุมกับทาง กกต.ที่ท่านบอกว่าผู้คนไปออกเสียงน้อยลง ซึ่งแม้จะถูกของท่าน แต่ผมก็เห็นว่าดีแล้ว เพราะขนาดมีข่าวนี้เกิดขึ้น ประชาชนก็ยังไปออกเสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิ์ แสดงว่าคนกรุงเทพฯยังยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย กลับมาที่เรื่องราวการจับกุมพลตรีจำลอง ศรีเมือง ซึ่งล่าสุด ก็เป็นไปตามที่คาดไว้ คือทำให้อุณหภูมิทางการเมืองกลับร้อนขึ้นมาทันที ฝ่ายพันธมิตรฯ แถลงว่าจะไม่มีการเจรจาใดๆต่อไปอีก แต่จะเดินหน้าประท้วงอย่างแตกหัก และจะไม่ออกจากทำเนียบ ส่วนทางฝ่ายรัฐบาลโดยเฉพาะ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ยืนยันว่าจะยังเจรจาต่อไป เพราะได้ติดต่อแกนนำไว้หลายๆคนและเชื่อว่าน่าจะเจรจาได้ผล ผมเองโดยส่วนตัวเห็นว่าไหนๆเราก็ยึดแนวทางเจรจากันมาตลอดแล้วก็อยากจะให้ยึดแนวนี้ต่อไป เพราะหากไปใช้วิธีอื่น ซึ่งก็มีอยู่วิธีเดียวคือ การเผชิญหน้า หรือการต่อสู้กันถึงขั้นแตกหัก ย่อมไม่ใช่ทางออกที่ถูกต้องอย่างแน่นอน บทเรียนในอดีตพิสูจน์ให้เห็นครั้งแล้วครั้งเล่าว่า การเผชิญหน้าและความแตกหักมีแต่ การนำความเสียใจมาสู่คนไทยและสังคมไทยและทำให้ประเทศไทยต้องแตกร้าวมากขึ้น ในที่สุดแล้ว เราก็ต้องหันหน้าเข้าหากันอยู่ดี เพราะเป็นไปไม่ได้ที่จะโกรธขึ้ง หรือต่อสู้กันตลอดไปแบบไม่มีที่สิ้นสุด ในเมื่อบทสรุปอย่างไรเสียก็จะต้องลงเอยในรูปนี้...เราก็คุยหรือตกลงกันเสียให้จบเรื่องโดยไม่ต้องต่อสู้จะไม่ดีกว่าหรือ ไม่ว่าจะต่อสู้แบบไหน ขึ้นชื่อว่าต่อสู้แล้ว มันบอบช้ำทั้งนั้น ไม่บอบช้ำร่างกายไม่เจ็บไม่ตาย...แต่ประเทศชาติก็ทรุดลงอยู่ดี ผมไม่ใช่คนเชื่อเรื่องโชคเรื่องลาง เรื่องอาถรรพณ์อะไรหรอก แต่ประสาคนที่เคยอยู่ในเหตุการณ์ทั้ง 6 ตุลา และ 14 ตุลา.....บอกตรงๆว่ายังรู้สึกหวิวๆและไม่อยากให้เกิดอะไรทำนองนั้นอีก จึงเขียนย้ำนักย้ำหนา ขอให้ทุกๆฝ่ายใจเย็นๆ หันหน้าเข้าหากันและพูดคุยอะไรกันได้ก็คุยกัน เฮ้อ! ข้อเขียนวันนี้ก็นั่งเขียนในวันที่ 6 ตุลาคม เสียด้วยซี เผอิญเป็น 6 ตุลา 2551 ซึ่งผมหวังว่าคงจะไม่มีอะไรร้อนแรงเหมือนเมื่อ 32 ปีที่แล้ว. "ซูม"