WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Wednesday, October 8, 2008

อยากให้เจรจาต่อไป

อุตส่าห์ลุ้นอยู่เสียหลายชั่วโมงว่าสถิติผู้มาใช้สิทธิ์ใช้เสียงในการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ครั้งนี้ จะลบสถิติครั้งก่อนๆหรือเปล่า

โดยเฉพาะคะแนนเสียงของ “เต็งหนึ่ง” อภิรักษ์ โกษะโยธิน ที่เอ็กซิทโพลทุกสำนักบอกว่าจะเข้าป้ายอย่างท่วมท้นนั้นจะเกินล้านเสียงหรือไม่?

เอาเข้าจริงๆปรากฏว่า เกิดอาการลุ้นค้างไปตามระเบียบ เพราะจากผู้มีสิทธิ์ 4,086,604 คน มีผู้มาใช้สิทธิ์ 2,214,320 คน หรือ 54.18 เปอร์เซ็นต์...ต่ำกว่าคราวที่แล้ว ซึ่งมีผู้ใช้สิทธิ์ประมาณ 65 เปอร์เซ็นต์

คุณอภิรักษ์ได้ไปทั้งสิ้น 991,018 คะแนน...ไม่ถึงล้านคะแนน และยังไม่ทำลายสถิติที่ คุณ สมัคร สุนทรเวช เคยทำไว้ 1 ล้านเศษๆ

มีเสียงบ่นจาก กกต.กรุงเทพมหานครว่าผิดหวังเพราะไม่เป็นไปตามเป้า 70 เปอร์เซ็นต์ที่ตั้งไว้ แถมยังต่ำกว่าคราวที่แล้ว

พอบ่นเสร็จก็วิเคราะห์กันต่อเลยว่า เหตุที่ไม่เป็นไปตามเป้าเพราะผู้คน เบื่อการเมือง

สำหรับผมแม้จะผิดหวังที่ลุ้นไม่ขึ้น และไม่เป็นไปอย่างที่ตั้งใจไว้ แต่ก็ถือว่าโอเคครับ สำหรับจำนวนและเปอร์เซ็นต์ที่ประชาชนออกมาใช้สิทธิ์

แต่ถ้าจะมองว่า เหตุที่ผู้ไปใช้สิทธิ์ใช้เสียงคราวนี้ลดน้อยลง เพราะเหตุทางการเมือง ผมก็ว่าน่าจะมีส่วนมาจากข่าวการจับกุมมหาจำลองไม่น้อยทีเดียว

เพราะประมาณ 8 โมงเศษๆของวันเลือกตั้งข่าวโทรทัศน์ก็ออกมาแล้วว่า ตำรวจเข้าควบคุมตัวมหาจำลองหลังจากที่ท่านไปใช้สิทธิ์ใช้เสียงในการเลือกตั้งที่เขตของท่าน

ไม่ว่ามหาจำลองจะตั้งใจออกไปให้ถูกจับ อย่างที่มีข้อสันนิษฐานจากบางฝ่าย หรือว่าเป็นการจับตามหน้าที่ของตำรวจอย่างที่นายกรัฐมนตรีกล่าวกับผู้สื่อข่าว

เมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว ก็ย่อมจะทำให้ประชาชนที่ทราบข่าวเกิดความกังวล และคาดการณ์ไปต่างๆนานา

ผมถึงได้มองคนละมุมกับทาง กกต.ที่ท่านบอกว่าผู้คนไปออกเสียงน้อยลง ซึ่งแม้จะถูกของท่าน แต่ผมก็เห็นว่าดีแล้ว เพราะขนาดมีข่าวนี้เกิดขึ้น ประชาชนก็ยังไปออกเสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิ์

แสดงว่าคนกรุงเทพฯยังยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย

กลับมาที่เรื่องราวการจับกุมพลตรีจำลอง ศรีเมือง ซึ่งล่าสุด ก็เป็นไปตามที่คาดไว้ คือทำให้อุณหภูมิทางการเมืองกลับร้อนขึ้นมาทันที

ฝ่ายพันธมิตรฯ แถลงว่าจะไม่มีการเจรจาใดๆต่อไปอีก แต่จะเดินหน้าประท้วงอย่างแตกหัก และจะไม่ออกจากทำเนียบ

ส่วนทางฝ่ายรัฐบาลโดยเฉพาะ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ยืนยันว่าจะยังเจรจาต่อไป

เพราะได้ติดต่อแกนนำไว้หลายๆคนและเชื่อว่าน่าจะเจรจาได้ผล

ผมเองโดยส่วนตัวเห็นว่าไหนๆเราก็ยึดแนวทางเจรจากันมาตลอดแล้วก็อยากจะให้ยึดแนวนี้ต่อไป

เพราะหากไปใช้วิธีอื่น ซึ่งก็มีอยู่วิธีเดียวคือ การเผชิญหน้า หรือการต่อสู้กันถึงขั้นแตกหัก ย่อมไม่ใช่ทางออกที่ถูกต้องอย่างแน่นอน

บทเรียนในอดีตพิสูจน์ให้เห็นครั้งแล้วครั้งเล่าว่า การเผชิญหน้าและความแตกหักมีแต่ การนำความเสียใจมาสู่คนไทยและสังคมไทยและทำให้ประเทศไทยต้องแตกร้าวมากขึ้น

ในที่สุดแล้ว เราก็ต้องหันหน้าเข้าหากันอยู่ดี เพราะเป็นไปไม่ได้ที่จะโกรธขึ้ง หรือต่อสู้กันตลอดไปแบบไม่มีที่สิ้นสุด

ในเมื่อบทสรุปอย่างไรเสียก็จะต้องลงเอยในรูปนี้...เราก็คุยหรือตกลงกันเสียให้จบเรื่องโดยไม่ต้องต่อสู้จะไม่ดีกว่าหรือ

ไม่ว่าจะต่อสู้แบบไหน ขึ้นชื่อว่าต่อสู้แล้ว มันบอบช้ำทั้งนั้น ไม่บอบช้ำร่างกายไม่เจ็บไม่ตาย...แต่ประเทศชาติก็ทรุดลงอยู่ดี

ผมไม่ใช่คนเชื่อเรื่องโชคเรื่องลาง เรื่องอาถรรพณ์อะไรหรอก แต่ประสาคนที่เคยอยู่ในเหตุการณ์ทั้ง 6 ตุลา และ 14 ตุลา.....บอกตรงๆว่ายังรู้สึกหวิวๆและไม่อยากให้เกิดอะไรทำนองนั้นอีก

จึงเขียนย้ำนักย้ำหนา ขอให้ทุกๆฝ่ายใจเย็นๆ หันหน้าเข้าหากันและพูดคุยอะไรกันได้ก็คุยกัน

เฮ้อ! ข้อเขียนวันนี้ก็นั่งเขียนในวันที่ 6 ตุลาคม เสียด้วยซี เผอิญเป็น 6 ตุลา 2551 ซึ่งผมหวังว่าคงจะไม่มีอะไรร้อนแรงเหมือนเมื่อ 32 ปีที่แล้ว.

"ซูม"