คอลัมน์ : โต๊ะข่าวประชาทรรศน์
ใครจะตำหนิผมว่าอย่างไรก็ช่าง แต่ต้องสารภาพตามตรงว่ายินดีปรีดาเป็นที่สุด ที่เห็น นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ ในชุดนักโทษใส่กุญแจมือ ทำหน้าบูดเบี้ยว ถูกคุมตัวไปขึ้นศาล และที่สุดศาลยังยกคำร้องขอให้ปล่อยตัว ตามที่ตะแบงว่าการจับกุมและคุมขังเป็นไปโดยมิชอบ
กรณีของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ที่ขออำนาจฝากขังต่ออีก 12 วันก็เช่นกัน สร้างความสุขใจให้ผมเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าจะยังไม่ถึงขีดสุด เพราะยังไม่เห็นกุญแจมือ และยังไม่เห็นการเปลี่ยนชุดจากเสื้อม่อฮ่อมตัวโปรดไปเป็นเครื่องแบบของชาวเรือนจำก็ตาม
ที่กล่าวเช่นนี้ไม่ใช่เพราะผมจะซาดิสม์ผิดมนุษย์ แต่ที่ดีใจเพราะถือว่าเป็นการกู้ศักดิ์ศรีของตำรวจไทยที่เหี่ยวเฉามากว่า 4 เดือน อยู่ในสภาพที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก และอึดอัดใจเป็นที่สุด
แถมยังเป็นการยืนยันว่า หลักนิติรัฐ-นิติธรรมของบ้านเรายังคงอยู่ กฎหมายยังเป็นกฎหมาย และคนทำผิดยังต้องได้รับโทษตามกระบวนการยุติธรรม
ซึ่งความเป็นจริงแล้วผมไม่ได้ชิงชังในตัว พล.ต.จำลอง หรือ นายไชยวัฒน์ เป็นส่วนตัว แต่กลับกัน ในอดีตเคยชื่นชมบทบาทของทั้ง 2 คน ที่มีส่วนร่วมต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย
แม้แต่คุณไชยวัฒน์เองผมก็มักคุ้นมาตั้งแต่เหตุการณ์ปี 2534 จนถึง 2535 ก่อนเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ เพราะมีโอกาสได้สนทนากันอยู่ที่ริมรั้วเขาดิน และยังตามไปนั่งพูดคุยกันที่เวทีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และเวทีที่ท้องสนามหลวง
กระทั่งวันที่คุณไชยวัฒน์หลบฉากการเมืองไปเฝ้ากิจการปั๊มน้ำมันให้น้องชายที่โคราช เมื่อผมมีโอกาสได้ไปบรรยายให้นักศึกษาปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในวิชาทางด้านการเมือง ผมก็ยังเสนอชื่อคุณไชยวัฒน์ให้เป็นวิทยากรร่วมเวที ด้วยเพราะเห็นความลุ่มลึก เห็นความเป็นนักประชาธิปไตย และเห็นความเป็นนักสู้เพื่อความถูกต้องจากเหตุการณ์การเมืองในอดีต
แต่เวลาผ่านไปเพียงไม่นาน ผมไม่นึกจริงๆ ว่าคนที่ผมเชื่อว่ามีแนวทางการเมืองชัดเจน จะบิดเบือนตัวเองและเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างกับหน้ามือเป็นหลังเท้า
และด้วยเหตุผลของคนที่เคยรู้จักมักคุ้นกัน จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งของความดีใจที่ “เฮีย” ถูกจับเข้าคุกเข้าตะรางครั้งนี้
เพราะหากเป็นวิธีคิดแบบเดียวกับที่ตำรวจจับเอาพวกโจรลักเล็กขโมยน้อย ชกต่อย ทะเลาะวิวาท เข้าไปกักขัง ด้วยหวังให้สำนึกตัวเป็นคนดี
บนความคุ้นเคยที่เคยมี ผมเองก็ยังหวังว่าการได้เข้าไปนอนในคุกเสียบ้างอาจจะทำให้คุณไชยวัฒน์กลับตัว มีสำนึก และคิดได้บ้างว่าต้องทำตัวให้เป็นประโยชน์แก่บ้านเมืองอย่างไร
ผมยังแอบหวังเล็กๆ ว่า เมื่อคุณไชยวัฒน์พ้นคุกออกมา อาจจะพอเหลือเรี่ยวแรงในช่วงบั้นปลายชีวิตทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติอีกครั้ง แม้ว่าข้อหาของคุณไชยวัฒน์จะมีโทษหนักถึงขั้นประหารชีวิตก็ตาม
ในฐานะ “มิตร” ผมคงขออวยพรให้คุณไชยวัฒน์ดูแลสุขภาพกาย สุขภาพใจ และใช้ชีวิตในกรงขังอย่างมีความสุข ใช้ธรรมะเข้าช่วยข่มจิตข่มใจ และนึกเสียว่า “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม”
ส่วนคุณจำลอง ผมไม่อยากมีความเห็น เพราะตัวผมเองที่เป็นคนกรุงเทพมาตั้งแต่เกิด คงเป็นคนส่วนน้อยที่ไม่ได้กากบาทเลือก พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เป็นผู้ว่าฯ กทม. ทั้ง 2 หน ในยุค “จำลองฟีเวอร์”
เพราะในขณะที่คนมองป้ายหาเสียงที่ทำด้วยเข่งปลาทูเป็นความสมถะ แต่ผมกลับมองบนข้อเท็จจริงว่า เข่งปลาทู ยังราคาแพงเสียยิ่งกว่าการใช้ป้ายหาเสียงกระดาษอย่างคนอื่น
เพราะฉะนั้นสิ่งที่ พล.ต.จำลอง พยายามทำในการหาเสียง ที่แท้ก็มีแต่การสร้างภาพหลอกลวงเสียตั้งแต่ยังไม่ได้เข้าไปทำงานบริหาร กทม.
ยิ่งเมื่อติดตามบทบาท ติดตามท่วงท่าของ พล.ต.จำลอง ตลอดจนวิธีคิดทางการเมือง ยิ่งมองเห็นความมักใหญ่ใฝ่สูง มองเห็นความทะเยอทะยานอยากเอาชนะ เป็นเผด็จการขนานแท้ที่ไม่เคยคิดฟังใคร
และอีกเหตุผลหนึ่งที่ผมอยากจะเพิ่มเติมถึงความดีใจ คงไม่ใช่เพราะอยากให้เข้าไปดัดสันดานแบบเดียวกับคุณไชยวัฒน์
แต่กรณีของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ผมอยากจะให้ถูกขังลืมไปเสียเลยมากกว่า จะได้ไม่มีคนอย่างนี้ออกเพ่นพ่านอยู่ในสังคมไทย เพราะไม่รู้ว่าจะคิดสร้างปัญหา สร้างความฉิบหายวอดวายให้ประเทศชาติอีกเมื่อไร
และหากจริงอย่างที่เป็นข่าวว่า ตำรวจกำลังจ้องจับ สนธิ ลิ้มทองกุล อีกคน
เพียงเท่านี้แผ่นดินเมืองไทย...ก็สูงขึ้นอีกเป็นกอง...!!
บิ๊กโบ๊ต