จะมีเบื้องหน้าเบื้องหลังกันอย่างไรทั้งฝ่ายรัฐบาลและกลุ่มพันธมิตรฯก็ตาม แต่ที่แน่นอนอุณหภูมิการเมืองกลับร้อนขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งอย่างไม่มีทางเลี่ยง และใครที่เป็นห่วงเป็นใยว่า พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกฯกำลังถูก “เจาะยาง” ก็ไม่ต้องห่วงแล้วครับ...เพราะเจ้าตัวยืนยันแล้วว่าไม่มีทางเจาะได้ และชี้ว่าการจับ 2 แกนนำเป็นหน้าที่ตามกฎหมาย ไม่มีคำสั่งลับ หรือ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯจะใช้วิชาเรียกพลให้มาชุมนุมกันมากๆ ว่ากันไปตามประสา “จิ๋วหวานเจี๊ยบ” อย่างไรก็ดี พล.อ.ชวลิตเปิดเผยด้วยว่า จะเดินหน้าเจรจาต่อไป ต้องแยก 2 เรื่องออกจากกันเชื่อว่าจะสามารถคุยกันต่อไปได้ และแกนนำก็ยังอยู่กันอีกหลายคน เหนืออื่นใดท่ามกลางความจริงทางการเมืองที่เกิดขึ้นคงจะเป็นเรื่องยากลำบากมากขึ้น เมื่อทั้ง 2 ฝ่ายต่างก็ไม่เชื่อใจ ไม่ไว้วางใจกัน แม้ พล.อ.ชวลิตจะใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดอย่างไรก็ตาม เพราะมาถึงวันนี้เป้าหมายของแต่ละฝ่ายต่างก็ต้องการที่จะเดินไปสู่จุดสูงสุดเช่นกัน นั่นก็คือจุดแตกหัก และความไม่เชื่อใจกันนั้นก็เกิดปัญหาเมื่อ ส.ว.กลุ่มหนึ่งที่ดูเหมือนจะแสดงท่าทีชัดเจนขึ้น ซึ่งแรกๆทางออกในเรื่อง ส.ส.ร. 3 น่าจะสอดคล้องกันได้ แต่เมื่อมีการบรรจุวาระพ.ร.บ.รัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมฉบับ “หมอเหวง” และการจับกุม 2 แกนนำพันธมิตรฯ จึงเบนเข็มคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็น ม.291 เพื่อตั้ง ส.ส.ร. ไปสู่การปฏิรูปการเมือง โดยยืนยันให้ใช้รัฐธรรมนูญปี 50 ไปอีก 3 ปีแล้วค่อยมาดูกันอีกที นั่นคงเป็นเพราะไม่เชื่อใจรัฐบาล ไม่เชื่อใจนายกฯว่าหากให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 2 รูปแบบอาจจะสอดแทรกแก้เพื่อตัวเองที่เป็นเป้าหมายสูงสุด ดังนั้น กระบวนการขับเคลื่อนเพื่อไปสู่การปฏิรูปการเมือง ซึ่งจะเป็นทางออกในการผ่าทางตันการเมืองดูจะตีบตันขึ้น การประชุมร่วมอันมีประธานสภาผู้แทนฯ ประธานวุฒิสภา หัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน นายกฯและหัวหน้าพรรคการเมืองร่วมรัฐบาล 5 พรรค เรียกว่าครบเครื่องทุกฝ่าย เพื่อหาทางออกทางการเมืองและการปฏิรูปการเมือง ก่อนหน้านี้ประชุม 4 ฝ่ายค้านผ่านไปแล้ว โดยมีมติให้ตั้ง ส.ส.ร.3 ปฏิรูปการเมือง แก้ไขรัฐธรรมนูญ ม.291 จากนั้นจึงประชุมพรรคการเมืองทุกพรรคเพื่อให้มีมติร่วมกัน แต่การประชุม 2 ครั้ง ในบรรยากาศที่ต่างกันอย่างน้อยประชาธิปัตย์คงรู้สึกว่ากำลังเล่นอะไรกันหรือเปล่า เพราะแน่นอนว่าประชาธิปัตย์ก็ต้องคิดเช่นกัน หากถูกรัฐบาลตลบหลังเมื่อประชาธิปัตย์โดดเข้าใส่เต็มตัวจะทำให้เสียรูปมวยทางการเมืองได้ ดังนั้น การที่จะเดินไปสู่ทางออกได้พรรคร่วมรัฐบาลจะต้องมีบทบาท และกดดันให้นายกฯดำเนินการตามมติ ไม่ใช่เล่นบทสองหน้า พูดง่ายๆ ก็คือนายกฯจะต้องจริงใจด้วยการกระทำไม่ใช่คำพูดเท่านั้น อีกทางหนึ่งคงเป็นหน้าที่ของ พล.อ.ชวลิตที่จะต้องเจรจากับกลุ่มพันธมิตรฯ แม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่ค่อนข้างลำบาก เพราะหากจุดนี้ไม่ยอมรับและยังชุมนุมต่อไปก็เหมือนไม่ได้แก้ปัญหาอะไรเลย ทุกอย่างก็จะเหมือนเดิม ทุกอย่างยังดำรงอยู่ ไม่เป็นผลดีต่อประเทศแน่ มีแต่คนที่อยู่ต่างประเทศเท่านั้นแหละ ที่กำลังสบายๆเพราะกำลังยื่นเรื่องขอ “ลี้ภัย” การเมืองเรียบร้อยไปแล้วดูรูปการณ์แล้วคงไม่มีปัญหาเพราะรัฐบาลไม่ได้สนใจที่จะเอาตัวกลับ มันเป็นอย่างนี้แหละครับ...ประเทศไทย. “สายล่อฟ้า”