นานมากแล้วที่ผมไม่ได้เขียนหนังสือ แต่ก็ได้ยินว่ามี ประดาบ มาแวะเวียนอยู่บ้าง ประปราย ครั้งสองครั้ง ใน ประชาไท และ พันทิพย์ แล้วก็จากหายไปเฉยๆ
ที่ผ่านมา แม้จะมีเรื่องราวมากมายที่อยากเขียน แต่ก็ไม่ได้เขียน เพราะเห็นว่ามีเพื่อนร่วมทางจำนวนมาก เพื่อนร่วมอุดมการณ์จำนวนไม่น้อย นำเสนอความคิดเห็นได้ตรงกับใจ ตรงกับที่ผมอยากจะเขียน อยู่แล้ว ผมก็เลยขันอาสาเป็นผู้อ่าน เป็นผู้สนับสนุน ร่วมแสดงความคิดเห็น และนำไปเผยแพร่ต่อ เพื่อให้แง่มุมความคิด มุมมองความเห็นของพวกเราขยายตัวกว้างไกลออกไปให้มากที่สุด
ที่น่าชื่นใจอีกประการหนึ่งก็คือ นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในโลกไซเบอร์ ขยายจำนวนเป็นทบเท่าทวีคูณ ในเวลาอันรวดเร็ว มีผู้เสียสละเงินทอง ทรัพย์สินส่วนตัว มาสร้างเวปไซต์เผยแพร่อุดมการณ์ประชาธิปไตย มากมายหลายเวปไซต์ ซึ่งผมขอแสดงความคารวะด้วยหัวใจมา ณ ที่นี้
อันที่จริง เรื่องที่ผมจะเขียนวันนี้ ก็เป็นเรื่องที่พวกเราหลายคนได้แสดงความห่วงใยกันแล้ว แต่แม้จะมีหลายเสียงทักท้วงแล้ว ผมก็ยังคงอยากจะเป็นอีกหนึ่งคนที่ร่วมออกแรงทักท้วงด้วย
นั่นก็คือ เรื่อง การหวังดีประสงค์ร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ของ นายสนธิ ลิ้มทองกุล หัวขบวนใหญ่ของพันธมิตรประชาชนปล้นประชาธิปไตย ที่กำลังเหิมเกริมอย่างหนักอยู่ในเวลานี้
การหวังดีประสงค์ร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นพันธกิจทางใจที่ยังคงดำเนินไปข้างหน้าโดย ไม่มีหยุดพัก และไม่มีลังเลแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียวของ นายสนธิ ลิ้มทองกุล
สถาบันพระมหากษัตริย์ ตกเป็นเครื่องมือของ นายสนธิ ลิ้มทองกุล และถูกใช้เป็นอุบายเพื่อทำลายล้างผู้อื่นอย่างต่อเนื่องยาวนาน นับแต่วันแรกเคลื่อนไหวจนถึงวันนี้ และจะดำเนินเช่นนี้ต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง เนื่องจากผู้คนรอบข้างสถาบันพระมหากษัตริย์ จำนวนหนึ่ง รู้เห็นเป็นใจและสนับสนุนการเคลื่อนไหวของนายสนธิ ลิ้มทองกุล อีกทั้งยังยุยงแนะนำให้นายสนธิ แอบอ้างและใช้สถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นเครื่องมือ
นายสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นบุคคลที่ใช้สถาบันพระมหากษัตริย์ แบ่งแยกคนในชาติออกเป็นสองฝ่าย ใช้ความจงรักภักดีต่อในหลวง เป็นลิ่มตอกแผ่นดินไทยให้แตกแยกแบบไม่เคยเป็นมาก่อน
มิพักต้องสืบสาวราวเรื่องหาเหตุว่า ทำไมวันนี้คนไทยจำนวนไม่น้อยจึงมีคำถามและข้อสงสัยอันมิบังควรอยู่ในหัวใจ แต่มิกล้าเอ่ยปากถามใคร เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์
คำตอบก็คือ เพราะคำกล่าวอ้างและการแอบอ้างของนายสนธิ ลิ้มทองกุล ทั้งโดยวาจา พฤติกรรม การแต่งกาย สิ่งของสื่อสัญญลักษณ์หลายสิ่งหลายประการ ประกอบกับพฤติกรรมของคนแวดล้อมสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่ออกมายืนเคียงข้างนายสนธิ ลิ้มทองกุล เรื่อยมา
4 ปีที่ผ่านมา สถาบันพระมหากษัตริย์ อยู่ในสถานะที่ถูกทำให้เข้าใจไปต่างๆ นานา นับแต่นายสนธิ ลิ้มทองกุล เริ่มการเคลื่อนไหวขับไล่รัฐบาล โดยที่มิอาจจะชี้แจงทำความเข้าใจ เพื่อแก้ไขข้อครหา ความเข้าใจผิดที่บังเกิดขึ้นในหัวใจของประชาชน ได้
แม้ศาลจะเคยวินิจฉัยว่าการแอบอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นเครื่องมือทางการเมือง และทำให้ประชาชนแตกแยก ของนายสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นภัยร้ายแรงต่อประเทศชาติ แต่ก็เป็นเพียงคำวินิจฉัยของศาลในพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มิใช่การสื่อสารทางตรงจากสถาบันพระมหากษัตริย์
จะมีก็แต่ครั้งหนึ่งที่ สำนักราชเลขาธิการ เคยทำหนังสือทักท้วงนายสนธิ ลิ้มทองกุล ว่ากล่าวหาให้ร้าย นายอาสา สารสิน ราชเลขาธิการ ด้วยความเท็จ มีเจตนาที่จะทำให้สำนักราชเลขาธิการ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันพระมหากษัตริย์เสื่อมเสีย โดยไม่สนใจค้นหาและตรวจสอบความจริง
คำตอบของ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ต่อหนังสือของสำนักราชการเลขาธิการ ที่ถูกส่งไปถึงนายอาสา สารสิน ราชเลขาธิการ ในครั้งนั้นก็คือ “อย่าคิดว่าผมจะกลัวคุณ” หรือ “กูไม่กลัวมึง” นั่นเอง
แม้หนังสือของสำนักราชเลขาธิการ จะอ้างสถานะของตนเองเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่คำตอบของนายสนธิ ลิ้มทองกุล กลับไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความยำเกรง ความตระหนัก หรือ สำนึกผิดต่อพฤติกรรมของตนเองที่กล่าวหาให้ร้ายราชเลขาธิการ แม้แต่น้อย
แม้แต่ ราชเลขาธิการ ยังถูกกระทำจากนายสนธิ ลิ้มทองกุล โดยมิได้นำพาว่า ราชเลขาธิการ เป็นผู้ได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยสูงสุดจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แล้วนับประสาอะไรกับข้าราชการตำรวจ ทหาร ทุกระดับชั้นยศ ที่จะถูกนายสนธิ ลิ้มทองกุล ชี้หน้าด่ากราด เป็นคนไม่รักชาติ ไม่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
ข้อกล่าวหาไม่รักชาติ ไม่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นข้อกล่าวหาที่ร้ายแรงที่สุดที่ข้าราชการตำรวจ ทหาร ซึ่งถวายชีวิตเป็นราชพลี ไม่อาจจะพึงรับได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตำรวจอย่าง พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นน้องชายแท้ๆ ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะทหารเสือราชินี เป็นที่รับรู้กันในแวดวงตำรวจทหาร ว่า ตระกูลวงษ์สุวรรณ คือตระกูลที่ถวายชีวิตเป็นข้าในพระ องค์มาช้านาน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทหารอย่าง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ทหารเสือราชินี ที่ถวายชีวิตเป็นราชพลี และปฏิบัติหน้าที่ถวายอารักขาสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินี นาถ ด้วยความจงรักภักดี มาตลอดชีวิตการรับราชการ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อดีตผู้บัญชาการตำรวจตระเวณชายแดน อย่าง พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ และ ตำรวจตระเวณชายแดน ที่ทำหน้าที่ถวายอารักขาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ สมเด็จย่า ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์ และ ถวายงานโรงเรียนตำรวจตระเวณชาย แดน มาตั้งแต่นายสนธิ ลิ้มทองกุล ยังเป็นผู้หนึ่งที่ร่วมอยู่ในขบวนการอาชญากรเศรษฐกิจ ด้วยซ้ำไป
ตำรวจตระเวณชายแดน พี่น้องของ ผู้กองแดน และ ผู้หมวดตี้ ที่ถวายอารักขาสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เมื่อคราวเสด็จแปรพระราชฐาน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และต้องเสียชีวิตจากการลอบสังหารของผู้ก่อการร้าย ต้องถูกชี้หน้าด่ากราดก่นประณามว่า เข่นฆ่าทำร้ายประชาชน เป็นทรราช ทั้งๆ ที่พวกเขาทำหน้าที่คุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน รักษาเอกราชของชาติ ปกป้องอธิปไตยของประเทศ มาโดยตลอด
แต่เมื่อพวกเขาต้องปฏิบัติหน้าที่นำความสงบกลับคืนสู่บ้านเมือง ด้วยการเผชิญหน้ากับพันธ มิตรประชาชนปล้นประชาธิปไตย ของนายสนธิ ลิ้มทองกุล พวกเขาก็ถูกสร้างภาพว่าเป็นกลุ่มคนที่ไม่จงรักภักดี ทั้งๆ ที่พวกเขาเพิ่งได้รับคำชื่นชมจากสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ว่าเป็นผู้เสียสละได้แม้กระทั่งชีวิตเพื่อชาติ
แม้จะเป็นข้อกล่าวหาที่ไม่อาจจะพึงรับได้ แต่ทั้งตำรวจ ทหาร เหล่านี้ก็จำต้องก้มหน้า เก็บความขมขื่นไว้ในใจ ไม่ปริปากพูด หรือ โต้ตอบ เพียงเพราะต้องการให้ประเทศชาติสงบเรียบร้อย
ข้อกล่าวหา ไม่รักชาติ ไม่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่พุ่งเป้าไปยัง พล.อ.อนุพงศ์ เผ่าจินดา และ พล.ต.อ.พัชรวาท วงศ์สุวรรณ หากออกจากปากบุคคลอื่น ที่มิใช่นายสนธิ ลิ้มทองกุล ก็อาจจะทำให้ต้องหยุดคิดว่า ทำไม 2 ท่านนี้จึงถูกกล่าวหา และ คนที่กล่าวหาเคยแสดงให้เห็นว่าเป็นผู้ที่มีความจงรักภักดีมากกว่า 2 ท่านนี้ มากน้อยเพียงใด หรือไม่
แต่เมื่อคนกล่าวหาเป็นนายสนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่งเป็นผู้ที่ถูกศาลชี้ว่าเป็นผู้ที่แอบอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์ มาเป็นเครื่องมือทางการเมือง ทำลายผู้อื่น และ เป็นผู้ที่ใช้ความจงรักภักดีแบ่งแยกประชาชนของพระองค์ท่าน เป็นสองฝ่าย ทำให้เกิดความแตกแยกของคนในชาติ อีกทั้งยังมีคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ติดตัวอยู่ด้วย จึงมิพักต้องหยุดคิด หรือใช้วิจารณญาณเลยว่า คำกล่าวหาของนายสนธิ จะเป็นจริงหรือเป็นเท็จ หรือ มีเนื้อหาสาระที่ชวนให้ต้องคิดตามหรือไม่
เป็นเรื่องน่าประหลาดใจที่ คนผู้หนึ่งซึ่งไม่เคยแม้แต่จะได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เข้าเฝ้า สักครั้งในชีวิต จะบังอาจ และกล้าหาญถึงขีดสุด กระทั่งชี้หน้าด่าว่า คนผู้หนึ่งซึ่งได้รับพระราช ทานพระบรมราชานุญาตให้เป็นข้าในพระองค์ ถวายงาน ถวายอารักขา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ และ พระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ มาเป็นเวลาต่อเนื่องยาว นานเกือบ 40 ปี ว่า เป็นผู้ไม่จงรักภักดี
แต่เรื่องน่าประหลาดนี้ กลับบังเกิดขึ้นแล้ว เมื่อนายสนธิ ลิ้มทองกุล กล่าวหาว่า พล.อ.อนุพงศ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก และ พล.ต.อ.พัชรวาท วงศ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งได้ รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่มีความสำคัญสูงสุด และต้องเป็นบุคคลที่ได้ รับการพิจารณาคัดสรรเป็นอย่างดีที่สุดว่ามีความจงรักภักดีอย่างหาที่สุดมิได้ ว่าเป็นผู้ไม่จงรักภักดี
เพื่อให้ข้อกล่าวหาของนายสนธิ ลิ้มทองกุล ดูดีมีน้ำหนัก สามารถหลอกประชาชนให้หลงเชื่อได้ จึงมีผู้คนบางคนที่กระทำการโดยแอบอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ดำเนินการบางประการให้ประชาชนเห็นและหลงเชื่อว่านายสนธิ ลิ้มทองกุล และการกระทำของนายสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นที่ทรงโปรด และทรงให้การสนับสนุน อาทิ...
การให้ข่าวสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ พระราชทานเงิน 1 แสนบาทให้แก่ประชาชนที่ได้รับบาดเจ็บจากการสลายการชุมนุมของตำรวจ เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ที่ผ่านมา ซึ่งถูกนายสนธิ ลิ้มทองกุล นำไปบิดเบือน ว่าเป็นเงินพระราชทานช่วยเหลือพันธมิตรฯ และทรงรับผู้บาดเจ็บทุกคนไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ โดยมิได้กล่าวถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บจากการถูกยิง ถูกแทง ถูกรถชนโดยการกระทำของกลุ่มพันธมิตร แม้แต่น้อย
การให้ข่าวดังกล่าวนี้ ผู้ให้ข่าวมีความตั้งใจที่จะแสดงให้ประชาชนได้พึงรับทราบประหนึ่งว่าทรงเลือกข้างแล้ว ทั้งๆ ที่โดยข้อเท็จจริงแล้วมิได้เป็นเช่นนั้น ทรงมีพระเมตตาแก่ประชาชนผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างเท่าเทียมกัน ทรงพระราชทานเงินให้แก่โรงพยาบาลเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บแก่ประชาชน และเจ้าหน้าที่ตำรวจ อย่างทั่วถึง ไม่มีการแบ่งแยกว่าประชาชนคนใดเป็นฝ่ายใด หากแต่ประชาชนทุกคนเป็นประชาชนของพระองค์ท่านเสมอมา มิเคยเปลี่ยนแปลง จะมีก็แต่นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ให้ข่าว และผู้บังอาจบิดเบือนพระราชประสงค์ของพระองค์ท่านเท่านั้น ที่มีเจตนาจะแบ่ง แยกประชาชน และทำให้คนในชาติแตกแยก โดยใช้ความจงรักภักดีที่ประชาชนมีต่อพระองค์ท่าน เป็นอุบาย
ข่าวดังกล่าวนี้ แม้จะส่งผลกระทบต่อจิตใจและความรู้สึกของประชาชนผู้จงรักภักดีอย่างมาก แต่ก็ยังไม่มากเท่ากับที่ส่งผลกระทบต่อตำรวจ และ ทหาร ที่ปฏิบัติหน้าที่โดยถวายชีวิตเป็นราชพลี เพื่อปกป้องรักษาราชบัลลังก์ และสถาบันพระมหากษัตริย์ จนเรียกได้ว่าอยู่ในภาวะหัวใจสลาย และบอบช้ำทางจิตใจยิ่งนัก ทั้งยังถูกกระหน่ำซ้ำเติมจากผู้คนในสังคมที่หลงเชื่อนายสนธิ ลิ้มทองกุล และขบวนการแอบอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์ มาสร้างความสำคัญให้แก่นายสนธิ ลิ้มทองกุล เสมือนหนึ่งว่าเป็นผู้ที่มีความจงรักภักดีเหนือกว่าตำรวจ และ ทหารทั้งแผ่นดิน
ความจริงประการหนึ่งที่ต้องยอมรับกันก็คือว่า ตำรวจและทหาร เป็นเสาหลักในการปกปักรักษาและค้ำราชบัลลังก์ เป็นสถาบันหลักที่ทำหน้าที่รักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ มานับแต่มีราชอาณาจักรสุโขทัย อยุธยา กรุงธนบุรี และ รัตนโกสินทร์ จวบจนถึงทุกวันนี้ สถาบันตำรวจ ทหาร มิเคยอยู่ห่างจากสถาบันพระมหากษัตริย์ และมิเคยตกอยู่ในสภาพที่ถูกทำร้าย ทำลาย กัดกร่อน อย่างหนัก ด้วยข้อหาร้ายแรงเช่นที่ประสบพบเจออยู่ในขณะนี้ ด้วยปากของนายสนธิ ลิ้มทองกุล
ความจริงประการหนึ่งที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ เสาหลักที่ค้ำราชบัลลังก์ กำลังถูกฝูงปลวก รุมกัดกินจนแทบจะซวนเซและทรุดลง โดยที่ไม่มีผู้ใดสนใจดูแลสภาพของเสาว่ายังคงแข็งแรงอยู่หรือไม่ หากแต่ไปสนใจว่าฝูงปลวกที่มารุมกัดกินเสา ยังมีความสุขดีอยู่หรือ ขาดเหลือสิ่งใดหรือไม่ จะได้นำไปช่วยเหลือเกื้อกูลแก่ฝูงปลวก ให้อุดมสมบูรณ์
ปลวกฝูงนี้ นำโดย พญาปลวกที่ชื่อนายสนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่งสถาปนาตนขึ้นเป็นพญาปลวก หลังจากที่ใช้ลีลาวาจาโวหารนำเสนอความเท็จ จนประชาชนจำนวนมากหลงเชื่อ เดินเข้ามาอยู่ในรังปลวก และพร้อมที่ปฏิบัติตามที่พญาปลวก สั่งให้กัดกิน ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า และไม่เป็นที่พึงพอใจ ขัดความต้องการของพญาปลวก
จากปลวกธรรมดาตัวหนึ่งที่กัดกินนักการเมืองเป็นเหยื่ออาหาร ก็กลายเป็นพญาปลวกขึ้นมาในเวลาไม่นานนัก เมื่อมีผู้หลงเชื่อนำผ้าแพรหลากสีมาผูกไว้ที่รังปลวก พร้อมกับนำธูปมากราบไหว้ทุกวันๆ ส่งผลให้รังปลวกธรรมดารังหนึ่ง ย่านถนนพระอาทิตย์กลายเป็นจอมปลวก ขนาดใหญ่ และมีการขยายอาณาจักรปลวก กัดกินทำลายเรื่อยไปทุกสถาบัน ทุกองค์กร ทุกคนที่ไม่ทำตามความต้องการของพญาปลวก จนในที่สุดก็มาถึงวันที่พญาปลวก นำฝูงปลวกที่หลงเชื่อมากัดกินเสาหลักค้ำราชบัลลังก์ ด้วยข้อหาไม่จงรักภักดี ทั้งๆ ที่พญาปลวกตัวนั้นต่างหากที่มีเจตนาแอบแฝงอยู่ในใจ โดยที่สามารถคาดหมายได้อยู่แล้วว่า หากวันใดที่เสาค้ำราชบัลลังก์ ถูกกัดกินจนหมดสิ้นไป และหักโค่นลงมา ราชบัลลังก์จะอยู่ในสถานะใด
พญาปลวก กำลังใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะนำจอมปลวกหรืออาณาจักรของตัวเอง ไปทำหน้าที่แทนเสาค้ำราชบัลลังก์ อย่าง ทหาร และ ตำรวจ
นายสนธิ ลิ้มทองกุล กำลังใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะแสดงให้ประชาชนหลงเชื่อว่าม็อบพันธมิตร มีความสามารถและเหมาะสมที่จะเข้าไปทำหน้าที่รักษาราชบัลลังก์ แทนกองทัพ และ ตำรวจ ได้ เนื่องจากมีความจงรักภักดีมากกว่า
หากวันใดที่ เสาค้ำราชบัลลังก์ถูกกัดกินจนหักโค่น ไม่สามารถทำหน้าที่ได้ต่อไป พญาปลวกที่ผลักดันตัวเองมาทำหน้าที่แทนเสา จะทำหน้าที่ค้ำราชบัลลังก์ดังปากว่า หรือ กัดกินราชบัลลังก์ดังใจหมาย คงไม่ยากเกินไปที่จะทำนายหรือคาดเดา
เพราะพญาปลวก อย่างนายสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นที่เลื่องลือและรับรู้กันทั่วทุกวงการว่า กัดกิน หากินไม่เลือก และไม่รู้จักอิ่ม อยู่แล้ว
ขณะเขียนบทความเรื่อง จอมปลวก มีข่าวชิ้นหนึ่งที่ยืนยันถึงความหวังดีประสงค์ร้าย ที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เข้ามาพอดิบพอดี ข่าวชิ้นนี้มาจากสำนักข่าวเอพี ตีข่าวมาเป็นภาษาอังกฤษ แปลความเป็นภาษาไทยได้ว่า สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี พระราชทานสัมภาษณ์เกี่ยวกับผู้ประท้วงขับไล่รัฐบาลในประเทศไทยว่า “ไม่คิดว่าคนเหล่านี้ทำเพื่อสถาบันพระมหากษัตริย์ตามที่แอบอ้าง คนพวกนั้นทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อตัวเขาเอง”
พระดำรัสของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี ที่พระราชทานแก่สื่อมวลชนต่างประเทศ เพียงเท่านี้ ก็ทำให้เห็นได้ว่า นายสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นคนเช่นไร เป็นบุคคลที่อันตรายเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศชาติ และราชบัลลังก์ มากเพียงใด
ความมุ่งหมายที่จะใช้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นเครื่องมือทางการเมือง เป็นอุบายแสวงหาอำนาจทางการเมืองแก่ตนเองและพวกพ้อง ยังคงเดินหน้าไม่หยุดยั้ง ไม่รั้งรอ และไม่ลังเลที่จะดำเนิน การเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของตนเร็วที่สุด โดยมิได้คำนึงถึงความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นทั้งต่อสถาบันพระ มหากษัตริย์ ประเทศชาติ ประชาชน แต่มุ่งหมายที่จะแสวงหาประโยชน์แก่ตนเป็นสำคัญที่สุด
เป็นที่ทราบกันดีว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ จะไม่ทรงยุ่งเกี่ยว หรือแสดงความเห็นทางการเมือง หรือเหตุการณ์ที่มีผลกระทบทางการเมือง เนื่องจากสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยทรงอยู่เหนือการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำเสนอความเห็นต่อสาธารณะหรือสื่อมวลชน เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เว้นแต่จะเป็นภาวะวิกฤตของบ้านเมืองที่ไม่สามารถหาทางออกได้แล้ว พระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะพระราชทานคำแนะนำให้ผู้มีหน้าที่นำไปปฏิบัติ ซึ่งทุกครั้งก็สามารถยุติเหตุการณ์ได้ในเร็ววันและทันที และภาวะวิกฤตของบ้านเมืองก็จะมลายหายสิ้นไปโดยพลัน ความสมานฉันท์กลับคืนสู่ประชาชนคนไทยโดยถ้วนทั่ว
พระดำรัสของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ที่มีต่อสื่อมวลชนต่างประเทศในคราครั้งนี้ จึงเป็นพระดำรัสที่ประชาชนคนไทยผู้จงรักภักดี พึงรับรู้และพิจารณา เพื่อที่ผู้ยังไม่หลงผิดจะได้ไม่หลงผิด และผู้ที่หลงผิดไปแล้ว จะถือโอกาสกลับตัวกลับใจ ไม่มัวเมาอยู่ในอุบาย “จงรักภักดีเหนือผู้อื่น” ของนายสนธิ ลิ้มทองกุล อีกต่อไป
บัดนี้ ประชาชนผู้จงรักภักดี พึงจะได้ประจักษ์ความจริงแก่ใจแล้วว่า นายสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นผู้จงรักภักดีเหนือกว่าผู้อื่นจริงหรือไม่ เป็นผู้ที่จะทำหน้าที่เสาค้ำราชบัลลังก์แทนกองทัพ และตำรวจได้จริงหรือไม่
ระหว่าง นายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่แอบอ้างว่าทำเพื่อปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ กับ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี ที่ทรงมีพระดำรัสว่า เขามิได้ทำเพื่อพระมหา กษัตริย์ เขาทำเพื่อตัวเขาเอง
คนไทยทั้งชาติทั้งแผ่นดิน จะเชื่อผู้ใด
คำถามนี้ คงไม่ยากเกินไปที่จะตอบ สำหรับผู้ที่เรียกตัวเองว่าเป็นประชาชนผู้งจงรักภักดี
ถึงเวลาแล้วหรือยังที่คนไทยทั้งประเทศ จะช่วยกันทำลายจอมปลวก ที่ถูกขบวนการแอบอ้าง
สถาบันพระมหากษัตริย์ หลอกลวงต้มตุ๋นประชาชน ว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่กำลังกัดกินทุกสถาบัน ทุกองค์กร ทุกคน ไม้เว้นแม้กระทั่งสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้ได้รับความเสียหาย และเสื่อมเสีย
มีข่าวมาถึงหูผมว่า เหตุที่ข่าวของสำนักข่าวเอพี ชิ้นนี้ไม่ถูกนำเสนอทางสถานีโทรทัศน์ สถานีวิทยุ และ สื่อสิ่งพิมพ์ในประเทศไทย ในขณะที่สื่อทั่วโลก นำเสนอกันอย่างกว้างขวาง เป็นเพราะว่ามีโทรศัพท์จากขบวนการแอบอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่อยู่ในสำนักพระราชวัง ไปยังสำนักข่าวทุกแห่งในประเทศไทย มิให้นำเสนอพระดำรัสของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ที่พระราช ทานสัมภาษณ์แก่สำนักข่าวเอพี
ไม่น่าเชื่อว่ากระทั่ง พระดำรัสของเจ้าฟ้าหญิงผู้ทรงเป็นที่รักเคารพเทิดทูนของคนไทยทั้งชาติ ยังถูกปิดกั้น ทั้งๆ ที่พระราชทานแก่สำนักข่าวต่างประเทศ และเผยแพร่ข่าวนี้ไปทั่วโลก แต่คนไทยกลับมีโอกาสได้รับทราบน้อยมาก นี่ย่อมจะแสดงให้เห็นว่าขบวนการแอบอ้างสถาบันพระมหา กษัตริย์ สร้างความสำคัญให้แก่นายสนธิ ลิ้มทองกุล และกลุ่มพันธมิตรประชาชนปล้นประชาธิปไตย เป็นขบวนการใหญ่เพียงใด และเป็นขบวนการที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ
เหตุการณ์ครั้งนี้ คนไทยผู้จงรักภักดีย่อมจะตระหนักได้ถึงอันตรายร้ายแรงของนายสนธิ ลิ้มทองกุล และภัยของกลุ่มพันธมิตร ซึ่งมีเครือข่ายแทรกซึมอยู่ทั่วทุกวงการ ทุกอาชีพ ทุกพื้นที่ของประเทศไทย ที่กำลังคืบคลานเข้าใกล้สถาบันพระมหากษัตริย์ อย่างน่าหวาดกลัว
เภทภัยที่กำลังเกิดขึ้นกับสถาบันพระมหากษัตริย์ และ เสาหลักที่ค้ำราชบัลลังก์มาช้านานกว่า 700 ปี ก่อตัวขึ้นมาแล้วและกำลังจะพัดโ*****่างรุนแรง เพื่อทำลายล้างให้สิ้นซาก หากว่าพวกเรานิ่งเฉย ประเทศไทยหลังพายุร้ายพันธมิตรพัดผ่าน จะเป็นเช่นไร สถาบันพระมหากษัตริย์ของเรา จะดำรงอยู่อย่างไร ในวันที่กองทัพถูกกัดกร่อน
เพื่อป้องกันเภทภัยที่จะกรายกล้ำเข้าใกล้สถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักยิ่งของเรา จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่คนไทยผู้จงรักภักดีจักต้องร่วมมือร่วมใจกันทำลาย กลุ่มพันธมิตรและเครือข่ายให้สิ้นซาก ซึ่งต้องใช้ความไม่กลัวเป็นที่ตั้ง ใช้ความกล้าเป็นธงนำ และต้องลงมือทันที โดยมิรอช้าให้เวลาผ่านเลยไปอีกแล้ว
การทำลายกลุ่มพันธมิตรและเครือข่าย ไม่ต่างจากการทำลายจอมปลวกที่มีผ้าแพรหลากสีผูกล้อม และมีธูปปักไว้เหนือกองดิน หากเราเห็นเภทภัยของปลวก มากกว่าอวิชชาที่บดบังปัญญาของเรา ก็เพียงทุบทำลาย และพ่นยาฆ่าปลวก ก็เป็นอันเสร็จสรรพ
แต่หากเราหลงเชื่อว่าจอมปลวกเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถูกอวิชชาครอบงำว่ากองดินเป็นสิ่งวิเศษมีพลังลี้ลับ จะทำลายล้างเราได้ด้วยวิชาอาคม บ้านของเราทั้งหลัง ก็คงไม่พ้นจะต้องถูกทำลาย เพราะปลวกกัดกินจนถล่มทลายลงมาเป็นกองดิน และเป็นอาหารของฝูงปลวก เป็นแน่แท้
คนไทยผู้จงรักภักดีทุกคน โดยเฉพาะ ตำรวจ ทหาร คงไม่มีใครอยากเห็นสถาบันพระมหากษัตริย์ ต้องตกเป็นอาการหรือเป็นเหยื่อ เป็นเครื่องมือ ของฝูงปลวกที่นำโดย นายสนธิ ลิ้มทองกุล และเครือข่ายพันธมิตร
ภารกิจนี้เป็นของคนไทยทุกคน และต้องเร่งรัดกระทำโดยเร็ว ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
จาก www.prachatai.com