ในอารมณ์ที่เตลิดเปิดเปิง ความคิดกระเจิดกระเจิงกันไป
ถึงขั้นที่กัปตันการบินไทยอารมณ์ค้าง ดักขวางงวงช้าง ปฏิเสธไม่รับนางฟาริดา สุไลมาน ส.ส.สุรินทร์ เขต 1 พรรคพลังประชาชน ขึ้นเครื่องเที่ยวบินที่ TG 1040 จากกรุงเทพฯ ไปยังท่าอากาศยานจังหวัดขอนแก่น โดยประกาศชัดๆเลยว่า
เที่ยวบินนี้ไม่รับ ส.ส.พลังประชาชน และนักการเมืองที่ทำร้ายประชาชน
เหตุการณ์ทำนองเดียวกันยังเกิดกับนายไชยา พรหมา ส.ส.หนองบัวลำภู และนางชมพู จันทาทอง ส.ส.หนองคาย เขต 1 พรรคพลังประชาชน ที่จะเดินทางขึ้นเครื่องบินเที่ยวบินที่ทีจี 1002 ดอนเมือง-อุดรธานี ก็ถูกกัปตันปฏิเสธ ไม่รับขึ้นเครื่องบินเช่นกัน
งานนี้เล่นหักดิบแรงๆเลย
การเมืองเรื่องม็อบลามป่วนถึงบนเครื่องบิน ไม่เว้นแม้กระทั่งโรงพยาบาล จากการอ้างของ นพ. สุเทพ กลชาญวิทย์ แพทย์ประจำคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า คณะแพทย์จากโรงพยาบาลจุฬาฯ ได้งดตรวจและรักษาเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ปะทะกับกลุ่มม็อบพันธมิตรฯ
เป็นหนึ่งในมาตรการทางสังคม เพื่อต้องการสะท้อนให้เห็นว่า แพทย์และพยาบาลไม่เห็นด้วยกับการกระทำที่รุนแรงเกินเหตุของผู้บริหารประเทศและเจ้าหน้าที่ตำรวจ
แต่ล่าสุด นพ.ธีรพงศ์ เจริญวิทย์ รักษาการ ผอ.โรงพยาบาลจุฬาฯ ยืนยันว่า ทางโรงพยาบาลจุฬาฯ ให้การตรวจรักษาเจ้าหน้าที่ตำรวจตามปกติ ไม่มีการเลือกปฏิบัติ การที่มีผู้ให้ข่าวว่าจะไม่รักษาตำรวจ คงเป็นความเห็นส่วนตัวของแพทย์บางคนเท่านั้น
โดยเชื้อปะทุวันแตกหัก “7 ตุลาฯอาถรรพณ์” สังเวยความขัดแย้งทางการเมืองด้วยเลือดและชีวิต ร่องรอยของความแตกแยกลามไปทั่ว แนวร่วมฝักใฝ่ม็อบพันธมิตรฯโชว์อิทธิฤทธิ์ตบหน้าสั่งสอนเครือข่ายรัฐบาล
เปิดหน้าเลือกข้าง ไม่ต้องกั๊กเก็บอาการกันอีกต่อไป
และก็เป็นอะไรที่หนีไม่ออก จำนนต่อภาพสยองที่ปรากฏบนหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ ผู้ชุมนุมขาขาด แขนขาด เลือดทะลักนองถนน โดยมีหน่วยปราบจลาจลถือปืนยิงแก๊สน้ำตาเล็งเป้าเข้าใส่ตัวคน
รังแกประชาชนที่ไม่มีอาวุธ
ตำรวจตกเป็นจำเลยสังคมในฐานะผู้ลงมือ ส่วนรัฐบาลโดนข้อหาบงการ
แต่ก็แก้ลำกันทันควัน ล่าสุด พ.ต.อ.สมชาย เชยกลิ่น ผกก.สน.ดุสิต เปิดเผยความคืบหน้ากรณีพบศพนิรนามข้างรถจี๊ปเชโรกี สีขาว ทะเบียน พต 4755 กรุงเทพมหานคร ที่เกิดระเบิดปริศนา บริเวณหน้าพรรคชาติไทย ช่วงม็อบกำลังชุลมุน จากการตรวจสอบผลการชันสูตรศพ พบว่าผู้ตายคือ พ.ต.ท.เมธี ชาติมนตรี อดีตสารวัตรปราบปรามในจังหวัดบุรีรัมย์ ที่ผันตัวเองมาเป็นแกนนำม็อบพันธมิตรฯสายศรีสะเกษ
และเป็นน้องเขยของนายการุณ ใสงาม แกนนำม็อบพันธมิตรฯ
เหมือนตั้งใจปล่อยคำถาม ตำรวจฝ่ายเดียวหรือเปล่าที่เล่นแรงนอกเกม
ที่แน่ๆเกมยุปฏิวัติยั่วไม่ขึ้น
สะท้อนจากอารมณ์เดือดดาลของแกนนำม็อบพันธมิตรฯขึ้นเวทีด่า “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ที่ไปยืนอยู่ข้างหลังนายกฯสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ช่วงแถลงข่าวที่กองบัญชาการกองทัพไทย ประทับความชอบธรรมให้ฝังรัฐบาล แทนที่จะอยู่ข้างม็อบประชาชน
เหน็บแรงๆ ทหารไม่ควรหวังเพียงลาภยศ และเงินจากการซื้ออาวุธเท่านั้น
โดยเป้าถล่มของแกนนำม็อบพันธมิตรฯ เบนกระบอกปืนใหญ่เข้าใส่ ผู้บัญชาการทหารบก ขัดใจกับบท “นิ่ง” ไม่ขับรถถังออกมาซะที
แต่คิวนี้ก็เครียดแทน “บิ๊กป๊อก” กับหลายคำถาม “วัดใจ”
ที่แน่ๆกับโจทย์ข้อใหญ่ ถ้ารัฐประหารยึดอำนาจแล้วจะให้ใครกุมบังเหียนรัฐบาล ในเมื่อตัวอย่างก็เพิ่งมีให้เห็นหยกๆ กับผลงาน “ปฏิวัติปราสาททราย” ของ “บิ๊กบัง” พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ
ปล่อย “รัฐบาลฤาษีเลี้ยงเต่า” โดนด่าเช้าด่าเย็น
แล้วยิ่งในสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ได้รับแรงกระแทกจากวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ของสหรัฐอเมริกา ตลาดหุ้นทั่วโลกกำลังร่วงระนาว ประเทศไทยยังลูกผีลูกคน หุ้นดำดิ่งลงเหลือต่ำกว่า 500 จุด
เผาหลอก รอวันเผาจริง
และก็เป็นอะไรที่รู้กันอยู่แก่ใจ ปฏิวัติไล่รัฐบาล “สมชาย” ไป วิกฤติความแตกแยกของคนไทยก็ยังคงแตกเป็นเสี่ยง เครือข่ายพันธมิตรฯสลับไปนั่งเป็นฝ่ายถืออำนาจ ม็อบคนรัก “ทักษิณ” ก็ต้องออกมาอาละวาด
เล่นกันแบบทีกูทีมึง
ที่แน่ๆอิทธิฤทธิ์ของ “ทักษิณ ชินวัตร” ก็แสดงให้เห็นแล้วในสมัยรัฐบาลทายาท คมช. จากการเล่นบทโฉบไปโฉบมา เผลอก็เปิดเกมถล่มเหล่าอำมาตยาธิปไตย ประจานกลเกมอำนาจที่ซ่อนอยู่ในประเทศไทย
โดยมีเพื่อนฝรั่งต่างชาติถือหางซะด้วย.
ทีมข่าวการเมือง รายงาน