WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Wednesday, October 8, 2008

จุดจบ ‘การเมืองใหม่’ ของพันธมิตรฯ


คอลัมน์ : ตะแกรงข่าว

เมื่อวัดกำลังกันแล้ว วันนี้พันธมิตรฯ แทบไม่เหลืออะไรอีก เนื่องจากบรรดาแกนนำรุ่นที่ 2 ก็หน่อมแน้ม ไร้ภาวะผู้นำ ไม่สามารถ “ออกแผน” อะไรได้ จะทำได้เพียงตะโกนผ่านไมค์ให้คนที่เดินทางมาปิดล้อมสภามีสติ เพื่อรอคำสั่งจากในทำเนียบรัฐบาล

เราจึงได้เห็น “แป๊ะหน้าสวย” ออกหน้า เพื่อจะฝ่าแนวตำรวจเท่านั้น

การเคลื่อนกำลังออกมาปิดล้อมสภาครั้งนี้ เป็นการกระทำที่เกินเหตุ ของการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ ที่แกนนำพันธมิตรฯ พยายามนำมาอ้างถึง เพื่อสร้างความชอบธรรมในการชุมนุมประท้วงมาตั้งแต่ต้น

เพราะมีการเตรียมการมาเป็นอย่างดี เหมือนจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น และจะได้รับผลอะไร
หลังจากเหิมเกริมยึดทำเนียบรัฐบาลมาแล้ว

ในทำเนียบรัฐบาล ที่ถือว่าเป็นกองบัญชาการของ “กลุ่มกบฏ” สิ่งที่เราได้เห็น คือ “แป๊ะลิ้ม” แกนนำพันธมิตรฯ ใช้โอกาสนี้ ทั้งปลุกทั้งปลอบ เรียกขวัญและกระตุ้นผู้มาร่วมชุมนุมให้ “สู้” ต่อไป

โดยอ้างว่านี่เป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายแล้ว

และได้ออกคำสั่งผ่าน “เอเอสทีวี” สื่อที่สร้างความแตกแยกในบ้านเมือง สื่อที่นำเสนอความเท็จเพื่อการปลุกระดม มอมเมาประชาชน กันทั้งวันทั้งคืน ให้คนมาร่วมที่ทำเนียบรัฐบาลมากที่สุด

ให้สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจตัดน้ำตัดไฟ เพื่อเป็นการตอบโต้ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปเคลียร์พื้นที่ เพื่อเปิดทางให้ ส.ส. และ ส.ว. ซึ่งเป็นผู้แทนปวงชน เข้าไปทำหน้าที่ ในวันที่รัฐบาลแถลงนโยบาย เพื่อจะได้ทำงานแก้ปัญหาของพี่น้องประชาชนและประเทศชาติต่อไป

สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นรูปธรรมคือ ผู้ที่มาชุมนุมปิดล้อมบริวณหน้าสภา ต้องอยู่ในสภาพเหมือนถูก “ปล่อยเกาะ” ต้องหาทางแก้ปัญหากันเอง

เพราะแกนนำที่อยู่ในทำเนียบรัฐบาล ไม่กล้าโผล่หัวออกมา

การเข้าเคลียร์พื้นที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อเปิดทางให้ “ผู้แทนปวงชน” เข้าไปทำหน้าที่อันทรงเกียรติ มีสื่อโทรทัศน์พยายามหามุมหาภาพ ที่ให้มองว่า ตำรวจใช้ความรุนแรง เป็นการกระทำเกินกว่าเหตุ ด้วยการออกอากาศซ้ำแล้วซ้ำอีก ให้เห็นภาพคนขาขาด ซึ่งความจริงแล้วตำรวจใช้ “แก๊สน้ำตา” ซึ่งเป็นการปฏิบัติการอย่างละมุนละม่อม ที่ทั่วโลกเขาใช้กัน

แปลกแต่จริงครับ กลุ่มพันธมิตรฯ จับเอาเรื่องนี้มาขยายเพื่อให้เกิดความขัดแย้งขึ้น

นายณฐพร โตประยูร ทนายความพันธมิตรฯ บอกว่า ได้รับการมอบอำนาจจากแกนนำพันธมิตรฯ ให้รวบรวมหลักฐาน เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับผู้บัญชาการให้ตำรวจใช้แก๊สน้ำตาสลายการชุมนุมของพันธมิตรฯ ที่หน้ารัฐสภา

ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่

นพ.ชัยวัน เจริญโชคทวี ผู้อำนวยการโรงพยาบาล วชิรพยาบาล เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบพบผู้บาดเจ็บบางส่วนมีบาดแผลจากการถูกวัตถุทำลายเนื้อเยื่อผิวหนัง ซึ่งวัตถุดังกล่าวนั้นคล้ายสะเก็ดระเบิด แต่ยังไม่สามารถยืนยันได้แน่ชัด

บาดแผลที่ผู้บาดเจ็บขาขาดนั้นพบว่าชิ้นเนื้อถูกทำลายจนแตกเป็นชิ้นเล็กๆ รวมทั้งกระดูก ซึ่งจากการประเมินฤทธิ์ของแก๊สน้ำตา ไม่สามารถทำให้เกิดบาดแผลดังกล่าวได้

และไม่มีความรุนแรงถึงขนาดที่ทำให้เนื้อเยื่อผิวหนังขาดละเอียดได้

ทางด้านตำรวจก็ออกมาโต้ข่าวที่พันธมิตรฯ บิดเบือน และสื่อบางสำนักรายงานข่าวว่ามีการใช้ระเบิดและอาวุธอื่นๆ ขว้างใส่กลุ่มผู้ชุมนุน เจ้าหน้าที่ตำรวจยืนยันว่าไม่เป็นความจริงทั้งสิ้น

ตำรวจใช้เพียงแก๊สน้ำตากับโล่กำบังเท่านั้น อีกทั้งการยิงแก๊สน้ำตาเข้าใส่กลุ่มผู้ชุมนุมถือเป็นวิธีการสลายการชุมนุมแบบสากลที่ใช้กันทั่วโลก ขอย้ำ

ส่วนกรณีที่มีผู้บาดเจ็บสาหัสนั้น เชื่อว่าน่าจะเกิดจากการชุลมุนวิ่งหนี ชนกันหกล้มและเหยียบกันเองมากกว่า

แต่บนเวทีพันธมิตรฯ ในทำเนียบรัฐบาล เอาไปพูดกันเป็นเรื่องใหญ่โตว่า ตำรวจใช้อาวุธสงคราม ใช้ เอ็ม 79 ทำร้ายประชาชน เพื่อปลุกอารมณ์ให้คนเคียดแค้นชิงชังตำรวจ เกลียดชังรัฐบาล

อย่างนี้เขาเรียกว่า เวรกรรมมีจริง ครับท่าน

นั่นแสดงว่าในกลุ่มผู้ที่มาปิดล้อมรัฐสภา มีการนำอาวุธที่เป็นอันตรายติดตัวออกมาด้วย เพราะที่ผ่านมานั้น ในเต็นท์ของพันธมิตรฯ ก็พบว่าเป็นที่ซ่องสุมอาวุธมาแล้ว

การที่จะนำอาวุธติดตัวออกมาด้วย ใช้ด้ามธงเป็นอาวุธทำร้ายตำรวจ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

เดือนตุลาคมยังมีอาถรรพ์ ยังเป็นเดือนที่ต้องจดจำต่อไปอีกครับ

จะแตกต่างกันที่ คราวนี้เป็นการเหิมเกริมของกลุ่มคนที่เป็นลิ่วล้อ “เผด็จการ” ได้รับการหนุนหลังจาก “มือที่มองไม่เห็น” และกลุ่มอำมาตยาธิปไตย ฝ่ายที่จะจ้องล้มล้างประชาธิปไตย ได้กระทำการย่ำยีระบบรัฐสภา ขัดขวางการทำหน้าที่ของผู้แทนปวงชน

เหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคม 2551 ได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่า เส้นทางประชาธิปไตยเป็นเรื่อง
ที่ต้องใช้ความอดทนอย่างแท้จริง

จากความแตกต่าง แต่มีบางกลุ่มนำไปเป็นความแตกแยก

เราได้เห็นนักการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย ที่เห็นความสำคัญและพยายามรักษาระบบรัฐสภา ในการประชุมร่วมของ ส.ส.และส.ว. รับฟังการแถลงนโยบายของรัฐบาล ก่อนที่จะเข้าไปทำงานแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและประเทศชาติ

แต่ก็เห็นชัดว่า มีพรรคการเมืองที่เอนเอียงไปกับกลุ่มพันธมิตรฯ อย่างพรรคประชาธิปัตย์ใช้โอกาสนี้ ใช้เล่ห์เหลี่ยมทางการเมือง หาผลประโยชน์ให้กับตัวเอง เหมือนมีเจตนาจะล้มสภาให้ได้

รวมทั้งมี ส.ว.เจ้าเก่า หน้าเดิมๆ เพียงไม่กี่คนที่ออกมาละเลงการเมืองกัน จนเปรอะเปื้อนเลอะเทอะ ในการล้มรัฐบาลมาตลอดเวลา

การบอยคอตการประชุมครั้งนี้ ถือเป็นการกระทำที่น่าอับอาย น่าอดสูเป็นอย่างยิ่ง

ซึ่งทั้ง ส.ส. และ ส.ว. สองกลุ่มนี้ อ้างเหมือนกันคือ นำเอาการสลายการชุมนุมของพันธมิตรฯ มาเป็นข้ออ้างในการไม่มาประชุมสภา แม้บางคนที่เข้ามาร่วมก็ทำการอย่างจงใจในการป่วนสภา จนท่านประธานฯ ต้องให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย นำตัวออกไปจากที่ประชุมของผู้ทรงเกียรติ

มีคำถามว่า ฝ่ายพันธมิตรฯ พรรคประชาธิปัตย์ และ ส.ว.กลุ่มนั้น ยังคงมีศักดิ์ศรี มีความชอบธรรมที่จะทำหน้าที่ “ผู้แทนปวงชน” ต่อไปอีกหรือไม่

ทำไมไม่ให้เกียรติกับประชาชนที่เลือกท่านเข้ามา ทำไมท่านจึงไม่ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย ไม่เคารพในระบบรัฐสภาอันทรงเกียรติ

เพราะนี่คือ “การเมืองใหม่” ของพันธมิตรฯ ซึ่งจะยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้อย่างเด็ดขาด

อัฐศิริ