* ‘ไชยวัฒน์-จำลอง’สวมชุดนักโทษนอนคุกยาว
“ตำรวจ” รุกคืบจ่อออกหมายจับ 20 พันธมิตรฯ อีกเป็นระลอกที่ 2 เผยมีทั้ง “อัญชลี-สำราญ-ประพันธ์” และบรรดาพวกขึ้นเวทีปลุกระดม พร้อมจัดกำลังเจ้าหน้าที่ประกบตัวแกนนำที่เหลือไม่คลาดสายตา ขณะเดียวกัน “ไชยวัฒน์” ต้องนอนคุกยาว ศาลอาญาสั่งยกคำร้องหลังยื่นขอปล่อยตัวโดยมิชอบ ชี้ตำรวจทำตามกฎหมาย เจ้าตัวคอตกถูกสวมกุญแจมือใส่ชุดนักโทษ กลับไปขังต่อที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ส่วน “จำลอง” ต่อคิวเปลี่ยนม่อฮ่อมใส่เครื่องแบบคุกอีกราย ด้านตำรวจ “นครบาล” เตรียมพร้อมกำลัง 7 กองร้อยรับมือแผนม็อบดาวกระจายป่วนเมือง
* “นครบาล” จัด7กองร้อยรับมือดาวกระจาย
หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แสดงฝีมือในการจับกุม 2 กบฏ ทั้ง นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ และ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ คนสำคัญ ท่ามกลางความชื่นชมในความกล้าหาญ และการปฏิบัติหน้าที่ตามกรอบกฎหมาย รวมไปถึงข่าวที่ยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการจัดกำลังประกบผู้ต้องหากบฏอีก 7 คนที่เหลืออย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่งเป็นแกนนำคนสำคัญ และพร้อมเข้าจับกุมทันทีที่โผล่ออกมานอกทำเนียบรัฐบาลนั้น
จ่อจับอีก 20 กบฏพธม.รุ่น2
ล่าสุดแหล่งข่าวนายตำรวจระดับสูงยังเปิดเผยอีกว่าเร็วๆ นี้ จะมีการขออนุมัติหมายจับเพิ่มเติมอีกประมาณ 20 คน ในข้อหาเดียวกัน เนื่องจากพบว่ามีพฤติกรรมในทำนองเดียวกันกับผู้ต้องหาที่ถูกหมายจับกุมไปในครั้งแรก และพบว่าผู้ต้องหาที่จะมีการออกหมายจับกุมรุ่น 2 นี้ เป็นบุคคลที่ยังคงปลุกระดมสร้างความแตกแยก ให้ร้ายรัฐบาล และส่อว่าสนับสนุนการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็น นายสำราญ รอดเพชร นายประพันธ์ คูณมี น.ส.อัญชลี ไพรีรัก ฯลฯ
ขณะเดียวกันผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในคืนวันที่ 5 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ถูกจับและมีการระดมพลครั้งใหญ่ ปรากฏว่ามีผู้มาร่วมการชุมนุม ซึ่งล้วนแต่ถูกเกณฑ์ขึ้นรถบัสมาเพียงประมาณหมื่นคนเศษเท่านั้น และเมื่อถึงเช้าวันที่ 6 ตุลาคม ก็เหลือผู้ชุมนุมเพียงประมาณกว่า 2 พันคน ซึ่งทำให้มีการประเมินของเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าแกนนำพันธมิตรฯ อาจตัดสินใจก่อการรุนแรงขึ้นอีกครั้ง เนื่องจากกระแสเริ่มปลุกไม่ขึ้น
นอกจากนี้ยังพบว่ามีการกะเกณฑ์บรรดาการ์ดพันธมิตรฯ และนักรบศรีวิชัย เข้าตรึงกำลังตั้งแต่คืนวันที่ 6 ตุลาคม โดยมีรายงานว่าให้มารวมตัวกันทั้งหมด จากที่เดิมเคยผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเป็นกะ และยังมีการตรวจค้นผู้ชุมนุมอย่างเข้มงวด และกักขฬะ เนื่องจากคนพวกนี้หวาดผวาว่าจะมีสายของเจ้าหน้าที่ตำรวจแทรกแซงเข้าไปในการชุมนุม
ยกคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว
ขณะที่ในเวลา 15.30 น. วันเดียวกัน ที่ห้องพิจารณาคดี 701 ศาลอาญา ศาลได้ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำสั่งกรณีที่ นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แนวร่วมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม ขอให้ปล่อยตัว เนื่องจากถูกคุมขังโดยมิชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 90
โดยศาลพิเคราะห์แล้วคดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่านายไชยวัฒน์ผู้ร้องถูกคุมขังโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งผู้ร้องนำสืบว่าถูกจับกุมโดยมิชอบ เนื่องจากคดีนี้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ที่ขอเพิกถอนหมายจับผู้ร้องกับพวกไว้แล้ว และผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอให้ระงับการดำเนินการตามหมายจับไว้ก่อน คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ หมายจับย่อมถูกระงับใช้ไว้ชั่วคราว การที่ตำรวจนำหมายดังกล่าวไปจับผู้ร้องจึงเป็นการจับโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
ศาลเห็นว่า แม้ผู้ร้องกับพวกยื่นอุทธรณ์ขอให้เพิกถอนหมายจับ และศาลอุทธรณ์มีคำสั่งรับไว้พิจารณาแล้วก็ตาม แต่เมื่อศาลอุทธรณ์ยังมิได้มีคำสั่งเพิกถอนหมายจับ และกรณีที่ผู้ร้องยื่นคำขอให้ระงับการดำเนินการตามหมายจับไว้ก่อน แต่ศาลอุทธรณ์ก็ยังมิได้มีคำสั่งเปลี่ยนแปลงหรือมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น จึงต้องถือว่าหมายจับของศาลอาญามีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมาย เจ้าพนักงานตำรวจย่อมมีอำนาจจับกุมผู้ร้องตามหมายจับได้
ข้ออ้างแกนนำม็อบฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่ผู้ร้องอ้างว่า เจ้าพนักงานตำรวจเข้าจับกุมผู้ร้องในบ้านพักโดยไม่มีหมายค้นนั้น ได้ความจากคำเบิกความของผู้ร้องว่า ขณะถูกจับกุมผู้ร้องเปิดประตูจะเข้าบ้าน ซึ่งเป็นร้านค้า เมื่อผู้ร้องเดินเข้าไปในบ้านแล้วเจ้าพนักงานตำรวจเข้าไปจับกุมในบ้าน เห็นว่า ผู้ร้องเบิกความว่าถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมบริเวณหน้าบ้านพัก ข้อเท็จจริงน่าเชื่อว่า เจ้าพนักงานตำรวจแสดงตัวเพื่อเข้าจับกุมผู้ร้องในขณะที่ผู้ร้องยืนอยู่ด้านนอกของตัวบ้าน แม้ผู้ร้องจะเดินเข้าไปในตัวบ้านก็ต้องถือว่าเป็นพฤติการณ์ที่ต่อเนื่องกับเหตุการณ์ตอนแรกที่เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมบริเวณหน้าบ้าน ซึ่งมิใช่ที่รโหฐานหรือที่ส่วนตัว ประกอบกับโดยสภาพหน้าบ้านของผู้ร้องเป็นร้านค้าจึงถือว่าเป็นสถานที่สาธารณะ ประชาชนทั่วไปมีความชอบธรรมจะเข้าไปได้ กรณีจึงไม่จำต้องมีหมายค้น
สำหรับที่ผู้ร้องนำสืบต่อไปว่า การนำตัวผู้ร้องไปคุมขังไว้ที่ บก.ตชด.ภาค 1 เป็นการคุมขังโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ทั้งการสอบสวนก็กระทำโดยไม่มีพนักงานสอบสวน สน.ประเวศ ท้องที่จับกุม จึงเป็นการสอบสวนโดยไม่ชอบ เห็นว่า ป.วิอาญา มาตรา 83 วรรคหนึ่ง บัญญัติเกี่ยวกับวิธีการจับว่า ให้เจ้าพนักงานผู้จับสั่งให้ผู้จับไปยังที่ทำการของพนักงานสอบสวนแห่งท้องที่ที่ถูกจับ เว้นแต่สามารถนำไปที่ทำการของพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบได้ในขณะนั้น ประกอบกับได้ความจากพนักงานสอบสวนในชั้นฝากขังว่า คดีนี้ บช.น. มีคำสั่งแต่งตั้งพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบไว้แล้ว เมื่อเจ้าพนักงานจับกุมผู้ร้องซึ่งเป็นผู้ต้องหาที่ 7 ตามหมายจับ เจ้าพนักงานผู้จับย่อมนำตัวผู้ถูกจับไปยัง บก.ตชด.ภาค 1 ได้ โดยไม่จำเป็นต้องนำตัวไป สน.ประเวศ อันเป็นท้องที่ที่จับกุมผู้ต้องหา ข้อนำสืบของผู้ร้องจึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง
เมื่อไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายกำหนดสถานที่คุมขังผู้ถูกจับไว้โดยเฉพาะ ประกอบกับได้ความจากผู้ร้องตอบคำถามค้านพนักงานสอบสวนว่า สน.นางเลิ้ง ซึ่งเป็นสถานที่ที่ผู้ร้องขอให้นำตัวไปควบคุมนั้นอยู่ใกล้กับบริเวณกลุ่มพันธมิตรฯ ชุมนุม จึงอาจเกิดการปิดล้อม สน.นางเลิ้ง ได้ผู้บังคับบัญชาจึงเปลี่ยนให้ควบคุมที่ บก.ตชด.ภาค 1 จ.ปทุมธานี ห่างไกลจากบริเวณชุมนุมโดยคำนึงถึงเหตุผลด้านความปลอดภัย และได้จัดชุดพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบเดินทางไปสอบปากคำผู้ร้องทันที กรณีจึงไม่จำต้องมี พนักงานสอบสวน สน.ประเวศ ร่วมทำการสอบสวนแต่อย่างใด ฉะนั้น การคุมขังและการสอบสวนจึงไม่ปรากฏขั้นตอนใดที่ปฏิบัติโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
“ไชยวัฒน์” ได้นอนคุกยาว
ส่วนที่ผู้ร้องนำสืบการตั้งข้อหากบฏ หรือข้อหาอื่นตามหมายจับไม่ชอบ เห็นว่า กรณีดังกล่าวอยู่ในการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ซึ่งศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้มีคำสั่งเปลี่ยนแปลง หรือมีคำสั่งเป็นอย่างอื่นดังที่กล่าวมาในข้างต้น ในชั้นนี้จึงไม่จำต้องวินิจฉัยส่วนที่ผู้ร้องนำสืบในประเด็นอื่น เช่น การที่ผู้ร้องเข้าร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯ เป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญมาตรา 63, 69 และ 70 ชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ มีความมุ่งหมายรักษาระบอบประชาธิปไตยและคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 237 และ 309 เพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และเอื้อประโยชน์ให้คดียุบพรรคไทยรักไทย ชาติไทย และมัชฌิมาธิปไตย ถือเป็นข้ออ้างในการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของผู้ร้องในชั้นสืบพยานของศาล
แต่ชั้นนี้ยังอยู่ในขั้นตอนของพนักงานสอบสวน และต้องรอผลสรุปเสนอความเห็นให้อัยการพิจารณาสั่งฟ้อง หรือสั่งไม่ฟ้องผู้ร้องกับพวกในความผิดฐานใดหรือไม่ หากเห็นว่าเรื่องใดจะเป็นประโยชน์แก่รูปคดีของตนผู้ร้องย่อมมีสิทธินำเสนอข้อเท็จจริงดังกล่าวเสนอต่อพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองได้ แต่ขั้นตอนดังกล่าวยังมิได้อยู่ในการพิจารณาของศาล ชั้นนี้จึงไม่จำต้องวินิจฉัย คำร้องของผู้ร้องไม่มีมูลที่ศาลจะดำเนินการตาม ป.วิอาญา มาตรา 90 ให้ยกคำร้อง
ภายหลังศาลอาญายกคำร้อง นายไชยวัฒน์ ซึ่งถูกสวมกุญแจมือ อยู่ในชุดผู้ต้องขังสีน้ำตาล สวมรองเท้าแตะ ถูกนำตัวไปควบคุมไว้บริเวณใต้ถุนศาล เพื่อเตรียมนำตัวกลับไปควบคุมไว้ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพต่อไป โดยมีกลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรฯ ประมาณ 100 คน เดินทางมาให้กำลังใจ
ขัง "จำลอง" ต่ออีก12 วัน
ขณะที่ ศาลอาญารัชดาภิเษก มีคำสั่งให้อนุญาตให้ฝากขัง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง หนึ่งในแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ผู้ต้องหาร่วมกันเป็นกบฏตามหมายจับของศาลอาญา เป็นเวลา 12 วัน ตามคำร้องของพนักงานสอบสวน สน.นางเลิ้ง เนื่องจากศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า พนักงานสอบสวนยังสอบสวนไม่เสร็จสิ้น โดยต้องสอบสวนพยานอีกจำนวนมาก พร้อมต้องตรวจสอบการกระทำผิดที่เกี่ยวเนื่องกันในต่างจังหวัด จึงมีเหตุจำเป็นต้องคุมขังไว้เพื่อการสอบสวน
อีกทั้งหมายจับก็ยังมีผลบังคับใช้ เพราะศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้เพิกถอนหมายจับ แกนนำทั้ง 9 คน จึงอนุญาตให้ฝากขังตามคำร้องพร้อมได้กำชับให้พนักงานสอบสวนเร่งรัดสอบสวนให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว
ด้าน พล.ต.จำลอง ยืนยันว่า จะไม่ขอยื่นประกันตัวหลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้นำตัว พล.ต.จำลอง และ นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ ไปควบคุมตัวที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ท่ามกลางกลุ่มพันธมิตรฯ ที่เดินทางมาให้กำลังใจเป็นจำนวนมาก
พธม.ขู่ประกาศชุมนุมใหญ่
ด้าน นายพิภพ ธงไชย นายสมศักดิ์ โกศัยสุข 2 แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แถลงข่าวกรณี 2 แกนนำถูกจับกุมในข้อหากบฏ โดยนายสมศักดิ์ กล่าวว่า มาตรการเคลื่อนไหวใหญ่นั้นจะมีแน่นอน และจะประกาศมาตรการเพื่อขับไล่รัฐบาล เพราะรัฐบาลชุดนี้หมดความชอบธรรมในการบริหารประเทศแล้ว
ส่วนกรณีหากมีการเคลื่อนไหวนอกทำเนียบ แกนนำพันธมิตรฯ ที่โดนข้อหากบฏจะออกไปเป็นผู้นำหรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า อาจจะออกไป เพราะพวกตนไม่ได้กลัวหมายจับหรือข้อหาดังกล่าว มีการต่อสู้ในชั้นศาลแล้วว่าเรื่องการตั้งข้อหาเป็นเท็จ ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการอุทธรณ์ และ พล.ต.จำลอง เองก็ไม่ให้ประกันตัว เพราะไม่ได้เกรงกลัวต่อข้อหานี้ พร้อมยืนยันว่าการที่ พล.ต.จำลอง ออกไปเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. เป็นมติของทั้ง 5 แกนนำ เพราะมั่นใจว่ารัฐบาลจะยึดมั่นในคำพูดว่า จะมีการเจรจาเกิดขึ้นกับพันธมิตรฯ แต่กลับถูกหักหลัง เป็นการตบหน้า พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรี อย่างแรง หากไม่มีการติดต่อมาจากรัฐบาลว่าจะขอเจรจากับพันธมิตรฯ ก็คงไม่มีแกนนำออกไปจากทำเนียบ
ด้านนายพิภพ กล่าวว่า การที่ พล.ต.จำลอง ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ไม่ได้เป็นแผนการปลุกระดมของกลุ่มพันธมิตรฯ หรือเรียกร้องให้คนออกมาชุมนุม แต่เป็นหน้าที่ของพลเมืองที่ทำตามกฎหมายรัฐธรรมนูญของประเทศไทย ที่มีอุดมการณ์และมีความตระหนักว่าอะไรผิดอะไรถูก พล.ต.จำลอง ถือเป็นตัวอย่างที่ดีของประชาชน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พล.ต.จำลอง ก็จะออกไปใช้สิทธิของคนไทยคนหนึ่ง และพร้อมจะตายไปกับความถูกต้อง
ตำรวจรับมือม็อบป่วนเมือง
พล.ต.ต.เอกรัตน์ มีปรีชา รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยว่า ได้มีการเตรียมกำลัง 7 กองร้อย เพื่อดูแลความสงบและรับมือกลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรฯ หากมีการเคลื่อนไหวในลักษณะดาวกระจาย ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะไม่มีการสกัดกั้น แต่จะดูแลไม่ให้เกิดความวุ่นวายเพียงเท่านั้น เบื้องต้นไม่ได้รับรายงานว่ามีการเคลื่อนไหวแต่อย่างใด
ขณะที่ พล.ต.ต.อนันท์ ศรีหิรัญ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 กล่าวว่า การเข้าจับกุม พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ นั้นยืนยันว่าไม่มีใบสั่งเป็นการปฏิบัติตามหน้าที่ และจะไม่คัดค้านการประกันตัว เนื่องจาก พล.ต.จำลอง ยอมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ส่วนแกนนำที่เหลือหากปรากฏตัวต่อหน้าเจ้าหน้าที่พนักงานก็จะดำเนินการจับกุมเช่นกัน