คอลัมน์ : ละครชีวิต
วันนี้ขึ้นหัวคอลัมน์ว่า “เบื่อม็อบพันธมิตร” ไม่ใช่ว่าลอกเลียนแบบมาจากสติ๊กเกอร์ของมูลนิธิกระจกเงา ที่ สมบัติ บุญงามอนงค์ เป็นผู้จัดทำขึ้นและแจกจ่ายไปทั่วบ้านทั่วเมืองเมื่อช่วงเดือนสิงหาคมแต่อย่างใด
แต่เพราะว่าได้พิจารณาจากหลายๆ ภาคส่วนในสังคมก็มักจะได้ยินเสียงด่าทอม็อบพันธมิตรฯ อย่างสาดเสียเทเสีย
ตอนนี้คนส่วนใหญ่ไม่เอาม็อบพันธมิตรฯ แล้ว เนื่องจากเพราะความรำคาญ และรู้เบื้องลึก เบื้องหลัง ข้อเท็จจริงถึงเหตุผลในการออกมาประท้วง ไม่ใช่เพราะผลประโยชน์ของประเทศชาติ บ้านเมือง
ข้อมูลที่เปิดเผยออกมาจากเวทีพันธมิตรฯ เว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์ และเอเอสทีวี ไม่ใช่ข้อมูลที่เป็นความจริงที่เชื่อถือได้
รวมทั้งบุคคลที่ไปขึ้นเวทีพันธมิตรฯ ก็ไม่มีความน่าเชื่อถือ
ผู้คนส่วนใหญ่จึงไม่เต้นไปตามที่ม็อบพันธมิตรฯ พยายามปลุกกระแสให้คนลุกฮืออีกรอบ
กระแสม็อบวันนี้ปลุกไม่ขึ้นจริงๆ ครับ ดูได้จากกรณีที่ นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ และ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง จงใจออกไปให้ตำรวจจับ
แม้ว่าสื่อในเครือข่ายพันธมิตรฯ จะประโคมข่าวปลุกกระแสดึงมวลชนเข้าร่วมชุมนุมให้มากกว่าเดิม
แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะไม่มีประเด็นอะไรใหม่ๆ ที่สร้างความฮือฮาซื้อใจมวลชนได้อีกต่อไป
ประกอบกันช่วงนี้ “คนไทย” กำลังรอคอยพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 14-19 พฤศจิกายน 2551
ดังนั้นจึงไม่ใช่เวลาที่จะออกมาสร้างความวุ่นวาย เผาบ้านเผาเมืองอีกครั้ง เพราะประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
การแก้ปัญหาทุกอย่างจึงต้องทำตามกติกา และ การเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง
อย่างไรก็ตาม แม้พันธมิตรฯ จะประกาศบนเวทีว่าจะออกมาตรการเพื่อขับไล่รัฐบาลออกไปให้ได้
โดยอ้างรัฐบาลชุดนี้หมดความชอบธรรมในการบริหารประเทศแล้ว
รวมทั้งขู่ว่าพันธมิตรฯ อาจจะกดดันด้วยการปิดสนามบินสุวรรณภูมิ รวมทั้งมาตรการตัดน้ำตัดไฟ
แต่ครั้งนี้คงไม่ง่ายเหมือนครั้งที่แล้ว เพราะการออกมาเผาบ้านเผาเมืองอีกครั้ง
ถือเป็นการ “ฆ่าตัวตาย” ของแกนนำพันธมิตรฯ ที่คิดจะเอาชนะด้วยการล้มรัฐบาลและสถาปนาการเมืองใหม่
ฟ้าฝนไม่เป็นใจแล้ว แบบนี้เห็นทีจะยากครับ !
ลวดหนาม