ที่มา thaifreenews
เพื่อนพ้องน้องพี่
Written by SW-Nike_mand
การเมืองที่แตกแยกเป็น 2 ฝ่าย ใครกันแน่ผิด ใครกันแน่ถูก พูดกันไป พูดกันมาหลายครั้ง หลายหน แต่สิ่งหนึ่งที่พูดกันมาโดยตลอดจากชนชั้นกลางก็คือ มองคนรากหญ้าไร้การศึกษา ขาดความเข้าใจทางการเมือง ยอมให้ฝ่ายการเมืองใช้เงินฟาดหัว เรียกง่ายๆ ว่า "ซื้อเสียง" นั่นแหละ
ปัญหานี้เกิดขึ้นมานานมาก และจะมีต่อไป เสียงจากชนชั้นกลาง ก็จะมองคนรากหญ้า "โง่ เง่า" ต่อไป หากยังเลือกพรรคเพื่อไทย หากต้องเชิดชู "ทักษิณ ชินวัตร" และที่น่าอเนจอนาถใจมากที่สุด ก็ตรงที่ฝ่ายรัฐบาลพยายามจะปิดกั้น การรับรู้ข่าวสารที่มาจากฝั่งเสื้อแดง มาจาก "ทักษิณ" โดยที่ไม่ได้มองตัวเองเลยว่า อะไรควรทำ และอะไรไม่ควรทำ
สำหรับสิ่งที่คนกลุ่มหนึ่ง ที่มักจะอ้างตัวว่า เป็นคนส่วนใหญ่ของสังคมมองว่า อำนาจทางการเมืองสามารถซื้อได้ง่ายจากการเลือกตั้ง โดยเฉพาะกลุ่มคนที่สนับสนุนพันธมิตร มักจะอ้างว่า ผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งในต่างจังหวัดมักจะขายเสียงให้ใครก็ตามที่ยอมจ่ายเงินให้สูงสุด และจำนวนเงินซื้อขายเสียงที่พูดถึงอยู่เสมอคือ 500 บาทต่อ/คน หรือต่อครอบครัว แม้แต่ในกรุงเทพฯ ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า มีข่าวทำนองนี้ออกมาบ่อยครั้ง
ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ปัญหาจริงๆ มันคืออะไร ผมอยากจะบอกว่าคนไทยวันนี้ไม่ได้กินหญ้านะครับ หากเข้าไปคลุกคลีกับผู้คนในหมู่บ้านที่ยากจนบอกตามตรงว่า สิ่งที่พวกเขาเลือกพรรคไทยรักไทย / พรรคพลังประชาชน (ถ้าเรียกว่าเป็นการขายเสียง) หรือพรรคเพื่อไทย ไม่ใช่จากเงินที่เขาหยิบยื่นให้แต่เพื่อแลกกับการสร้างถนน ปั๊มน้ำเพื่อนำน้ำกินน้ำใช้เข้าหมู่บ้านซึ่งสิ่งเหล่านี้ มันทำให้ชีวิตของเขาดีขึ้นเขาผิดหรือ...?
สำหรับสิ่งที่คนกลุ่มหนึ่ง ที่มักจะอ้างตัวว่า เป็นคนส่วนใหญ่ของสังคมมองว่า อำนาจทางการเมืองสามารถซื้อได้ง่ายจากการเลือกตั้ง โดยเฉพาะกลุ่มคนที่สนับสนุนพันธมิตร มักจะอ้างว่า ผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งในต่างจังหวัดมักจะขายเสียงให้ใครก็ตามที่ยอมจ่ายเงินให้สูงสุด และจำนวนเงินซื้อขายเสียงที่พูดถึงอยู่เสมอคือ 500 บาทต่อ/คน หรือต่อครอบครัว แม้แต่ในกรุงเทพฯ ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า มีข่าวทำนองนี้ออกมาบ่อยครั้ง
ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ปัญหาจริงๆ มันคืออะไร ผมอยากจะบอกว่าคนไทยวันนี้ไม่ได้กินหญ้านะครับ หากเข้าไปคลุกคลีกับผู้คนในหมู่บ้านที่ยากจนบอกตามตรงว่า สิ่งที่พวกเขาเลือกพรรคไทยรักไทย / พรรคพลังประชาชน (ถ้าเรียกว่าเป็นการขายเสียง) หรือพรรคเพื่อไทย ไม่ใช่จากเงินที่เขาหยิบยื่นให้แต่เพื่อแลกกับการสร้างถนน ปั๊มน้ำเพื่อนำน้ำกินน้ำใช้เข้าหมู่บ้านซึ่งสิ่งเหล่านี้ มันทำให้ชีวิตของเขาดีขึ้นเขาผิดหรือ...?
บางแห่ง การเลือก "ทักษิณ" แล้วพวกเขาได้ห้องสมุด ได้โรงเรียนใหม่ๆ ในหมู่บ้าน และอีกหลากหลายที่ทำให้ชีวิตเขาดีขึ้น ที่บรรดาชนชั้นกลางไม่เคยพูดถึง หรือไม่เคยได้ให้สิ่งเหล่านี้กับพวกเขามาก่อน นอกจากการพูด พูด และก็พูด
สิ่งเหล่านี้ที่ "ทักษิณ" ให้กับประชาชน มันมากกว่าผลงานรวมๆ ที่อดีตนายก ชวน หลีกภัย ชวลิต ยงใจยุทธ์ และบรรหาร ศิลปอาชา ได้เคยทำไว้ในสมัยที่เป็นนายกรัฐมนตรี
สิ่งเหล่านี้ที่ "ทักษิณ" ให้กับประชาชน มันมากกว่าผลงานรวมๆ ที่อดีตนายก ชวน หลีกภัย ชวลิต ยงใจยุทธ์ และบรรหาร ศิลปอาชา ได้เคยทำไว้ในสมัยที่เป็นนายกรัฐมนตรี
ตัวอย่างชัดๆ อย่าง "บรรหารศิลปอาชา" ที่พัฒนาเมืองสุพรรณ จากเมืองปิด ให้กลายเป็นเมืองเปิด สร้างบ้าน แปรงเมืองให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวทันสมัย มันคือการซื้อเสียงหรือไม่
ทำไมพรรคประชาธิปัตย์ ถึงไม่ได้เสียงข้างมากในการเลือกตั้ง ทำไมคนในพรรคประชาธิปัตย์หลายคนอยู่สูงจนแตะต้องไม่ได้ ทำไมพื้นที่ภาคใต้ ถ้าไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยว และเป็นฐานเสียงของเขา ถึงมีไม่ค่อยได้รับการพัฒนา แม้จะได้เป็นรัฐบาลหลายครั้ง
คำถามเหล่านี้ มันมีคำตอบในตัวหรือไม่ ที่ทำให้พรรคการเมืองแห่งนี้ ไม่ได้เป็นเสียงข้างมากในการเลือกตั้งแต่ละครั้ง และในกรุงเทพฯ เพราะการเมืองแห่งนี้ ทำไมขึ้นลงตามกระแส แทนที่จะมีเสียงที่ยั่งยืนจากผลงานที่กระทำ
ท้ายที่สุด ก็มาถึงประเด็นที่ว่า "เงินซื้อเสียงในการเลือกตั้งได้จริงหรือ?"
ผมเชื่อว่า แท้จริงแล้ว สิ่งที่ "ทักษิณ" ใช้ซื้อใจชาวบ้าน มาจากโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของสังคมต่างหาก ที่ทำให้เขาได้รับการลงคะแนนเลือกตั้งผลงานที่สามารถจับต้องได้ที่เขามอบให้แก่ชุมชนต่างหาก ซึ่งรวมไปถึงการให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำอย่างธนาคารประชาชน กองทุนหมู่บ้าน 30 บาทรักษาทุกโรค และโครงการที่อยู่อาศัยราคาถูก ซึ่งอันสุดท้ายจะมีปัญหามากน้อยไม่ทราบ แต่ถ้ามองถึงโครงการที่ประสบความสำเร็จ คนอยู่เต็ม มันคือการสร้างหลัก ปักฐานให้คนจนไม่ใช่หรือ...
ทำไมพรรคประชาธิปัตย์ ถึงไม่ได้เสียงข้างมากในการเลือกตั้ง ทำไมคนในพรรคประชาธิปัตย์หลายคนอยู่สูงจนแตะต้องไม่ได้ ทำไมพื้นที่ภาคใต้ ถ้าไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยว และเป็นฐานเสียงของเขา ถึงมีไม่ค่อยได้รับการพัฒนา แม้จะได้เป็นรัฐบาลหลายครั้ง
คำถามเหล่านี้ มันมีคำตอบในตัวหรือไม่ ที่ทำให้พรรคการเมืองแห่งนี้ ไม่ได้เป็นเสียงข้างมากในการเลือกตั้งแต่ละครั้ง และในกรุงเทพฯ เพราะการเมืองแห่งนี้ ทำไมขึ้นลงตามกระแส แทนที่จะมีเสียงที่ยั่งยืนจากผลงานที่กระทำ
ท้ายที่สุด ก็มาถึงประเด็นที่ว่า "เงินซื้อเสียงในการเลือกตั้งได้จริงหรือ?"
ผมเชื่อว่า แท้จริงแล้ว สิ่งที่ "ทักษิณ" ใช้ซื้อใจชาวบ้าน มาจากโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของสังคมต่างหาก ที่ทำให้เขาได้รับการลงคะแนนเลือกตั้งผลงานที่สามารถจับต้องได้ที่เขามอบให้แก่ชุมชนต่างหาก ซึ่งรวมไปถึงการให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำอย่างธนาคารประชาชน กองทุนหมู่บ้าน 30 บาทรักษาทุกโรค และโครงการที่อยู่อาศัยราคาถูก ซึ่งอันสุดท้ายจะมีปัญหามากน้อยไม่ทราบ แต่ถ้ามองถึงโครงการที่ประสบความสำเร็จ คนอยู่เต็ม มันคือการสร้างหลัก ปักฐานให้คนจนไม่ใช่หรือ...
ความแตกแยกที่มีอยู่ และหาทางสมานฉันท์ได้ลำบาก เพราะชนชั้นกลางในเมืองหลวงเขาไม่พอใจพรรคการเมืองที่ต้องการดูแลความจำเป็นพื้นฐานของชาวชนบทแต่มีการเสียประโยชน์จากหลายๆ โครงการของบรรดาผู้มีอิทธิพล เอกชน ชนชั้นกลางที่รู้สึกว่าไม่ได้ ไม่มี รวมทั้งการโง่หัวขึ้นของคนต่างจังหวัดที่จะเริ่มได้รับรู้ข่าวสาร ได้ใช้โทรศัพท์มือถือในการติดต่อสื่อสารกับคนที่รักเมื่อยามไกลกันหรือการเดินทางระหว่างหมู่บ้านกับเมือง ที่มีรถเข้าออกวันละเที่ยวก็จำต้องมีมอเตอร์ไซต์ไว้เดินทาง
สิ่งเหล่านี้มันทำให้พวกเขากลายเป็นคนฟุ่มเฟือยงั้นหรือ
ประเด็นความขัดแย้งทางการเมืองในปัจจุบันในปัจจุบันคงมิใช่การวยุบพรรคการเมือง หรือการปลดใครออกจากตำแหน่งทางการเมืองแต่เป็นการต่อสู้ระหว่างชนชั้นต่างหาก คนจบปริญญาตรี มีสิทธิ์มีเสียง 1 เสียงเท่ากับคนจบ ป.4 และไม่ได้หมายความว่า คนจบปริญญาตรีจะมีจิตใจสูงส่งกว่าคนไม่รู้หนังสือ และที่สำคัญคือ คนรากหญ้าเขาไม่จำเป็นต้องกินหญ้า
สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เลยก็คือ คนจบสูงๆส่วนใหญ่มักจะเอาเปรียบคนชั้นรากหญ้า...!!
การศึกษาสูงๆไม่ได้หมายความว่าจิตใจจะไม่สกปรก ไม่ดูถูกคนอื่น และคนที่ไม่จบปริญญาแต่มีความเข้าใจเกี่ยวกับประชาธิปไตย มากกว่าคนหลายคนที่มีการศึกษาเพราะเขายังไปเลือกตั้ง
ผมเคยอ่านบทสัมภาษณ์ รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ ในนิตยสาร สารคดี ปีที่ 24 ฉบับที่ 282 สิงหาคม 2551 "ผมเชื่อในศักยภาพของคน แม้ว่าจะเป็นชาวบ้านเขาก็เรียนรู้เขารู้ในบริบทของเขาเหมือนกับคนชั้นกลางรู้ในบริบทของเขาปัญหาคือเรากล้าพอไหมที่จะเคารพการตัดสินใจของคนพวกนี้อย่างที่ผมเคยบอกว่าประชาธิปไตยคือถ้าเขาเลือกผู้ปกครองผิดก็ให้เขารู้ว่าเขาเลือกผู้ปกครองผิดต่อไปเขาจะได้เลือกมันให้ถูก แต่ถึงที่สุดเราต้องเคารพคนไม่ควรจะมีใครเป็นผู้วิเศษมาชี้แล้วบอกว่าพวกคุณผิดปัญหาคือชนชั้นนำไทยชอบชี้เองว่ามันผิดหรือถูก โดยที่ลืมไปว่า เมื่อเราชี้นั้นตัวเราก็พัวพันอยู่ในผลประโยชน์ในทางชนชั้นด้วยส่วนหนึ่ง"
วันนี้ พวกคุณยังจะคิดว่า คนจบสูงๆ เป็นตัวหลักในการพัฒนาประเทศแล้วมองชนชั้นล่างไร้ราคา
ถามจริงๆ พวกคุณเรียนจบสูงๆ ทำงานดีๆมีปัญญาปลูกข้าวกินเองหรือเปล่า หรือใครบ้างที่ไม่เคยกินผลผลิตจากชนชั้นรากหญ้า ปากว่า ตาขยิบกันทั้งนั้น โดยลืมไปว่า สังคมมันจะอยู่ได้ ต้องทุกภาคส่วน ไม่ใช่กลุ่มใด กลุ่มหนึ่งเพียงอย่างเดียว
สิ่งเหล่านี้มันทำให้พวกเขากลายเป็นคนฟุ่มเฟือยงั้นหรือ
ประเด็นความขัดแย้งทางการเมืองในปัจจุบันในปัจจุบันคงมิใช่การวยุบพรรคการเมือง หรือการปลดใครออกจากตำแหน่งทางการเมืองแต่เป็นการต่อสู้ระหว่างชนชั้นต่างหาก คนจบปริญญาตรี มีสิทธิ์มีเสียง 1 เสียงเท่ากับคนจบ ป.4 และไม่ได้หมายความว่า คนจบปริญญาตรีจะมีจิตใจสูงส่งกว่าคนไม่รู้หนังสือ และที่สำคัญคือ คนรากหญ้าเขาไม่จำเป็นต้องกินหญ้า
สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เลยก็คือ คนจบสูงๆส่วนใหญ่มักจะเอาเปรียบคนชั้นรากหญ้า...!!
การศึกษาสูงๆไม่ได้หมายความว่าจิตใจจะไม่สกปรก ไม่ดูถูกคนอื่น และคนที่ไม่จบปริญญาแต่มีความเข้าใจเกี่ยวกับประชาธิปไตย มากกว่าคนหลายคนที่มีการศึกษาเพราะเขายังไปเลือกตั้ง
ผมเคยอ่านบทสัมภาษณ์ รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ ในนิตยสาร สารคดี ปีที่ 24 ฉบับที่ 282 สิงหาคม 2551 "ผมเชื่อในศักยภาพของคน แม้ว่าจะเป็นชาวบ้านเขาก็เรียนรู้เขารู้ในบริบทของเขาเหมือนกับคนชั้นกลางรู้ในบริบทของเขาปัญหาคือเรากล้าพอไหมที่จะเคารพการตัดสินใจของคนพวกนี้อย่างที่ผมเคยบอกว่าประชาธิปไตยคือถ้าเขาเลือกผู้ปกครองผิดก็ให้เขารู้ว่าเขาเลือกผู้ปกครองผิดต่อไปเขาจะได้เลือกมันให้ถูก แต่ถึงที่สุดเราต้องเคารพคนไม่ควรจะมีใครเป็นผู้วิเศษมาชี้แล้วบอกว่าพวกคุณผิดปัญหาคือชนชั้นนำไทยชอบชี้เองว่ามันผิดหรือถูก โดยที่ลืมไปว่า เมื่อเราชี้นั้นตัวเราก็พัวพันอยู่ในผลประโยชน์ในทางชนชั้นด้วยส่วนหนึ่ง"
วันนี้ พวกคุณยังจะคิดว่า คนจบสูงๆ เป็นตัวหลักในการพัฒนาประเทศแล้วมองชนชั้นล่างไร้ราคา
ถามจริงๆ พวกคุณเรียนจบสูงๆ ทำงานดีๆมีปัญญาปลูกข้าวกินเองหรือเปล่า หรือใครบ้างที่ไม่เคยกินผลผลิตจากชนชั้นรากหญ้า ปากว่า ตาขยิบกันทั้งนั้น โดยลืมไปว่า สังคมมันจะอยู่ได้ ต้องทุกภาคส่วน ไม่ใช่กลุ่มใด กลุ่มหนึ่งเพียงอย่างเดียว