ที่มา thaifreenews
โดย ลูกชาวนาไทย
เมื่อคืน ผมไปร่วมการชุมนุมของ นปช. ตั้งแต่ 5 โมงเย็น จำนวนคนแน่นมากน่าจะเกินแสนคน กว่าจะลุยไปถึงเต้นท์ของ FARED ได้ก็เหงื่อตกไปพอสมควร แต่เวลาสักสองทุ่ม ฝนก็เทลงมาอย่างแรง ต้องหลบเข้าเบียดกันในเต้นท์เล็ก ๆ แต่คนเสื้อแดงจำนวนมากก็ไม่ได้ถอย หรือรู้สึกว่ามันเป็นอุปสรรคแต่อย่างใด คนเอาร่มไปก็ชักร่มออกมากลาง คนที่เคยผ่าน "สมรภูมิวัดไผ่เขียว" ที่ฝนตกมีโคลนครึ่งแข้ง มีพายุจนเต้นท์แทบพัง ต้องช่วยกันโหนดึงเต้นท์ไว้ เรื่องฝนตกแค่นี้จึงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
เมื่อคืนมีเรื่องที่ไม่เหมือนกับการชุมนุมครั้งก่อนคือ มีการตั้งเวทีเล็กของแดงสยามที่หน้ากองฉลาก ส่วนเครื่องเสียงของเวทีใหญ่ไปสิ้นสุดที่สี่แยกคอกวัว ทำให้เสียงไม่ตีกัน เวทีเล็กนั้นได้ข่าวว่า คุณสุนัย จุลพงศธร ไปปราศรัยด้วย (มีคนบอกว่าไปช่วยเหลือน้องๆ ไม่ให้วิ่งชนกำแพงมากเกินไป)
การตั้งเวทีทั้งสองเวทีที่ไม่ได้แข่งกัน แต่ผมเห็นว่าเป็นการเสริมกันและกันมากกว่า เพราะทำให้ผู้ฟังขาฮาร์ดคอร์ทั้งหลายที่เบื่อๆ ไม่อยากกิน "แกงจืด" แบบ นปช. ต้องการกินแกงเผ็ดรสจัด ได้มีโอกาสเลือก เพราะสามารถไปฟังเวทีเล็กได้ ผมเดินไปฟังตอนราวๆ สามทุ่มกว่า ช่วงที่หลวงตาชู โฟนอินเข้ามา รู้สึกว่ามีคนไปฟังพอประมาณ ราวๆ สองสามพันคน (อาจน้อยกว่าเพราะเต็มครึ่งถนนด้านกองฉลากอย่างเดียว) การปราศรัยก็ถึงลูกถึงคน พอสมควร
ผมว่าทั้งแดงสยามและ แดง นปช. คงสามารถบรรลุข้อตกลงอะไรบางอย่างในแนวทางได้แล้วคือ ต่างคนต่างปรับจูนให้เข้ากันได้บางระดับ เพราะดูเหมือนว่า นปช. ที่เป็นแกนนำ ทั้งจตุพรและณัฐวุฒิ ก็ปรับระดับการปราศรัยให้เข็มข้นขึ้น ไม่อวยอีกต่อไป โยนระเบิดข้ามหลังคาบ้านอำมาตย์เฉียดไปเฉียดมาพอสมควร
สรุปก็คือ ทั้งแดงสยามและ นปช. ก็คงต้องทำงานของตนตามความเชื่อของตนไป สามารถแข่งขันกันได้เพื่อให้เกิดการปรับตัวของทั้งสองฝ่าย นปช. เดินช้าไปก็เดินให้เร็วขึ้นบ้าง แดงสยามเดินเร็วไปก็เดินให้ช้าลงบ้าง ก็ไม่เสียหาอะไร รวมแล้วคนเสื้อแดงที่เป็นกลุ่มใหญ่ก็คงยังต้องเดินไปข้างหน้า ความเร็วช้า ก็คงต้องขึ้นกับสถานการณ์โดยรอบด้วย
อันที่จริงผมคิดว่า นปช. ได้ปรับตัวหลายอย่างหลังจากที่มีการวิพาร์กกันอย่างรุนแรงของของบรรดาแฟนคลับในเว็บบอร์เกิดสงครามในเว็บ (ผมก็ออกศึกด้วย) จากแดงสยาม แดง นปช. ทั้งหลาย สิ่งที่เห็นได้ชัดถึงการปรับตัวของ นปช.คือ
- การอวยนั้นหายไป การปราศรัยเพิ่มความเข็มข้นขึ้น
- การพูดคำว่าประชาธิปไตยนั้น ณัฐวุฒิได้เติมสร้อยให้คือ “ประชาธิปไตย อันมีประชาชนเป็นใหญ่ในแผ่นดิน” คำนี้น่าจะประนีประนอมกันได้ระหว่างแดงสยามกับ แดง นปช.
- เรื่อง 112 แม้ นปช.ไม่ได้รับลูกเอาเป็น Agenda ในการเคลื่อนไหว แต่ก็ยอมให้มีการพูดบนเวทีบ้างเหมือนกัน และเรื่องนี้นักวิชาการใหญ่ๆ เช่น คณะนิติราษฎร์ และ อ.สมศักดิ์ เจียมฯ ได้ออกมาร่วมวงด้วยแล้ว สร้างกระแสความชอบธรรมได้มากกว่า นปช. ลุยเอง เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องวิชาการค่อนข้างมาก ต้องให้วงวิชาการพูด
ปล. มีเพื่อนเสื้อแดงเคยเสนอความเห็นว่า "แดงสยาม" นั้นน่าจะเปลี่ยนชื่อ เพื่อปรับภาพพจน์ใหม่น่าจะทำให้ดีขึ้น เพราะคำว่าแดงสยามถูกผูกกับคุณสุรชัย รวมทั้งภาพพจน์แดงล้มเจ้าที่พวกอำมาตย์สร้างขึ้น ดังนั้น เพื่อให้คนสามารถเข้าร่วมได้มากขึ้น อาจเปลี่ยนชื่อเป็น "แดงอโยธยา" (สมมุติ) หรือ แดงก้าวหน้า เป็นต้น แต่อาจต้องพิจารณาว่า การทิ้งชื่อ "แดงสยาม" ไปจะเป็นผลดีต่อการเคลื่อนไหวหรือไม่ เพราะ นปช. ก็เคยทิ้งชื่อ "นปก." ที่ติดภาพของการยกพวกตีกันกับพวก พธม. ที่พวกอำมาตย์สร้างภาพให้มาแล้ว