ที่มา มติชน "ยิ่งลักษณ์" ไพ่ใบสุดท้าย กุมชะตา "ทักษิณ-เพื่อไทย"
(หน้าการเมือง หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 13 เมษายน 2554)
ความคืบหน้าล่าสุด ของ "พรรคเพื่อไทย" ที่เปิดโหมดเลือกตั้ง เข้าสู่โหมดของการหาเสียง คือ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี เคาะชื่อ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" น้องสาวคนสุดท้าย ให้ลงสมัคร ส.ส.ในระบบ "ปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 1" ของพรรคเพื่อไทย
ซึ่งนั่นหมายความว่า โอกาสที่ "ยิ่งลักษณ์" จะถูกดันให้ขึ้นเป็นตัวแทน "พรรคเพื่อไทย" ในตำแหน่ง "แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี" พุ่งสูง หนีแคนดิเดตคนอื่นๆ ลิบลับ
โดยในวงประชุมกลางเมือง "ดูไบ" ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่แวดล้อมไปด้วย "สายทักษิณ" ไม่ว่าจะเป็น "สมชาย วงศ์สวัสดิ์" , "เยาวภา วงศ์สวัสดิ์" , "พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล" และ "ยงยุทธ ติยะไพรัช" สรุปร่วมกันว่า "ยิ่งลักษณ์" คือผู้ที่เหมาะสมที่สุด ที่จะเป็น "ผู้นำทัพเพื่อไทย" ในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง
เฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อสถานการณ์การต่อสู้ระหว่าง "พ.ต.ท.ทักษิณ" และ "ฝ่ายถืออำนาจ" เข้ามาถึงจุดสำคัญ ที่ทำให้มองได้ว่า "ชัยชนะหลังการเลือกตั้ง" ไม่ได้มีความหมายเพียง "การชิงอำนาจรัฐ"
หากย้อนมองสถานการณ์การเมืองในภาพรวม "พรรคเพื่อไทย" และ "พ.ต.ท.ทักษิณ" เผชิญศึกใหญ่อยู่ 2 ด้าน คือ "แรงต้านจากภายนอก" กับ "แรงกระเพื่อมภายใน"
โดย "แรงต้านจากภายนอก" นั้น แกนนำใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณ ประเมินตรงกันว่า ไม่ว่า "เพื่อไทย" จะส่งใครมานั่งเป็น "แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี" ก็หนีไม่พ้นข้อกล่าวหา "นอมินีทักษิณ" และต้องเผชิญกับการโจมตีทุกรูปแบบ ไม่ต่างจากกัน
และที่สำคัญคือ ไม่สามารถหลีกเลี่ยงกระแสโจมตีเหล่านี้ได้
ดังนั้น ทั้งหมดจึงหันมอง "ปัญหาภายใน" คือ "แรงกระเพื่อมในพรรค" ที่ขณะนี้ "แกนนำระดับบิ๊กเนม" หลายคน ประกาศตัวในทั้งที่ลับและที่ไม่ลับ จะขอเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี
ซึ่งไม่ว่า "แกนนำคนไหน" จะได้ขึ้นมาหยิบชิ้นปลามัน เอาไปได้ ย่อมทำให้ "ผู้ที่ผิดหวัง" ตีโพยตีพาย สร้าง "แรงกระเพื่อมภายใน" ได้รุนแรง และจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ตามมา
จึงมีการเสนอชื่อ "ยิ่งลักษณ์" ซึ่งถือเป็นสายตรงที่สุด ขึ้นมาเป็น "แคนดิเดต" คนสำคัญ
ภายใต้สมมติฐาน ที่ว่า สถานะ "สายตรง" ของ "ยิ่งลักษณ์" จะสามารถสยบ "ศึกใน" และทำให้ "เพื่อไทย" กลับมาแข็งแกร่ง เพื่อสู้ "ศึกนอก" ในการเลือกตั้งได้
โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ผล "แพ้-ชนะ" ในสนามเลือกตั้ง คือ คำพิพากษา อนาคต "เพื่อไทย" ลมหายใจ "เสื้อแดง" และสำคัญที่สุดคือ ชีวิตของ "พ.ต.ท.ทักษิณ"
เพราะหาก "เพื่อไทย" ต้องพ่ายแพ้ใน "การเลือกตั้ง" ครั้งนี้ เอฟเฟ็คต์สำคัญที่จะตามมาคือ ผลกระทบต่อความมั่นใจใน "กระแสทักษิณ"
ซึ่งจะส่งผลต่อความชอบธรรม ในการเคลื่อนไหวต่อสู้ ทั้งในระบบรัฐสภาและเกมการเมืองข้างถนน
โดยเฉพาะ "พรรคเพื่อไทย" ที่หลายคนมองตรงกันว่าโอกาส "พรรคแตก" มีสูง
ดังนั้น การลงเลือกตั้งครั้งสำคัญ ในฐานะ "ฝ่ายค้าน" จึงไม่แปลกเลย หาก "พ.ต.ท.ทักษิณ" จะเลือก "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" เป็น "ไพ่ใบสำคัญ" ขึ้นมาต่อกรกับ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" , "พรรคประชาธิปัตย์" และ "ฝ่ายถืออำนาจ" ทั้งระบบ
เป็นการ "ทุ่มสุดตัว" ที่ "ระดับแกนนำพรรคเพื่อไทย" มองว่า เป็น "ไพ่ใบเดียว" ที่จะเพิ่มโอกาสให้ "เพื่อไทย" ได้รับชัยชนะ
แม้จะมีความพยายาม ส่งสัญญาณ คัดค้านจาก "อดีตนักการเมืองผู้ใหญ่" ในพรรค ไม่ว่าจะเป็น "จาตุรนต์ ฉายแสง" อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคเพื่อไทย หรือ "คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์" อดีตรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย
รวมไปถึง "พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ" ประธานพรรคเพื่อไทย และ "เสนาะ เทียนทอง" หัวหน้าพรรคประชาราช บิ๊กเนมที่เพิ่งตบเท้าเข้ามาอยู่กับ "ฝ่ายทักษิณ"
โดยเป็นห่วงในสถานการณ์หลังเลือกตั้งว่า ความเป็น "ชินวัตร" ของ "ยิ่งลักษณ์" อาจจะสร้างปัญหาให้กับการประนีประนอมกับ "ฝ่ายถืออำนาจ"
แต่ "แกนนำสายทักษิณ" สรุปเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า "อำนาจรัฐ" คือใบเบิกทางไปสู่ "โต๊ะเจรจา" ดังนั้น "ชนะเลือกตั้ง" ให้ได้ก่อน น่าจะดีกว่า !!!
"วิธีการเลือกผู้นำแบบล้าสมัย!!"
(เขียนโดย แอนดรูว์ วอล์คเกอร์ นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย เผยแพร่ในเว็บล็อก "นิว มันดาลา" หรือ "นวมณฑล" เมื่อวันที่ 12 เมษายน)
ใครก็ตามที่กำลังสนับสนุนให้ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" มีโอกาสได้เป็นนายกรัฐมนตรีในอนาคตของประเทศไทย สมควรจะถูกประณามอย่างรุนแรง!
การคัดเลือกบุคคลมาดำรงตำแหน่งผู้นำระดับชาติ ด้วยพื้นฐานในเรื่อง "สายเลือด" ถือเป็นวิถีปฏิบัติที่ไม่น่าเชื่อถือและเก่าแก่ล้าสมัย ผู้นำระดับชาติควรจะถูกคัดเลือกจากคุณสมบัติทางด้านคุณธรรมความสามารถ ไม่ใช่ด้วยหลักเกณฑ์ทางด้านสายโลหิต คุณสมบัติในการเป็นผู้นำนั้นขึ้นอยู่กับความสามารถและการประสบความสำเร็จในโลกแห่งความจริง นี่คือสิ่งที่สำคัญเกินกว่าจะถูกยุติลงด้วยอุบัติเหตุทางพันธุศาสตร์ของการมีบรรพบุรุษร่วมกัน
พวกเราล้วนรู้เป็นอย่างดีว่า การที่สมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวใดมีความสามารถและได้รับการเคารพนับถืออย่างสูงนั้น ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าบรรดาเครือญาติร่วมสายเลือดของเขาจะถูกสร้างขึ้นมาให้มีความสามารถในระดับเดียวกัน ประวัติศาสตร์ถูกทำให้เรี่ยราดไปด้วยการกระทำที่โง่เขลาอันน่าเศร้าสลดของพี่น้องซึ่งมีความทะเยอทะยานมากเกินไป, เครือญาติที่มีความโหดเหี้ยมอำมหิต และบรรดาลูกชายผู้เบาปัญญา
การนำทางประเทศชาติในช่วงเวลาอันยากลำบากต้องอาศัยมากกว่านามสกุลอันเป็นมงคล นี่คือช่วงเวลาที่ประเทศไทยจะต้องก้าวให้พ้นไปจากรอยทางของระบอบปิตาธิปไตยเสียที