ที่มา บางกอกทูเดย์
เลือกตั้งเดิมพันสูงตั้งแต่ยังไม่เริ่ม
ปชป.เบรกภูมิใจไทยทุกเรื่อง!!
ถ้าหากไม่มีการยุบสภาในสัปดาห์แรกของเดือนพฤษภาคม อย่างที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ย้ำนักย้ำหนาแล้ว... เชื่อได้เลยว่า ความน่าเชื่อถือของนายอภิสิทธิ์ จะต้องลดวูบลงติดดินอย่างแน่นอน
ไม่ว่าจะสรรหาข้ออ้างใดๆมาแก้ตัวก็ตาม... ในสถานการณ์ที่ความไม่เชื่อมั่นต่อการแทรกแซงระบอบประชาธิปไตยของมือที่มองไม่เห็น การแก้ตัวอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้น
ส่วนหลังจากที่มีการยุบสภาแล้ว เรื่องของการจัดการเลือกตั้ง เพื่อให้เป็นไปตามกลไกประชาธิปไตยที่แท้จริง จะถูกแทรกแซงหรือไม่ เป็นเรื่องที่ตองรอการพิสูจน์ เพราะขนาดที่บรรดาผู้บัญชาการกองทัพดาหน้าออกมายืนยัน แต่ก็ยังสยบกระแสความไม่เชื่อไม่ได้
ฉะนั้นทำได้อย่างมากที่สุดในขณะนี้ก็คือการต้องรอพิสูจน์ เพราะไม่ว่าอย่างไรระยะเวลาในการพิสูจน์ก็ไม่นานเกินรอ
แต่ไม่ว่าอย่างไร หากว่า มือที่ทองไม่เห็น ขั้วอำนาจพิเศษใดๆก็ตาม คิดจะทำอะไรแล้วล่ะก็ ขอให้นึกถึงความน่าเชื่อถือของบรรดาผู้บัญชาการเหล่าทัพทั้ง 4 คนเอาไว้ด้วย
ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ไม่เคยมีครั้งใดที่ทั้งผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารอากาศ และผู้บัญชาการทหารเรือ ต้องออกมายืนยันว่าไม่มีการปฏิวัติเพื่อหยุดระบอบประชาธิปไตยและการเลือกตั้ง เหมือนในครั้งนี้เลย
ดังนั้นจะทำอะไรก็นึกถึงหน้ากันเอาไว้บ้างก็คงจะดีไม่น้อย
แต่หากจับรหัสทางการเมือง ดูเหมือนว่า นักการเมืองล้วนต่างมีการเตรียมพร้อมกันเอาไว้เต็มที่ เพื่อรับมือกับการเลือกตั้งกันแล้ว
อย่างน้อยที่สุด พรรครวมชาติพัฒนาก็ผนึกกำลังรวมกับพรรคเพื่อแผ่นดินโดยเปิดเผยแล้ว ทำให้น้ำหนักของนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ นายพินิจ จารุสมบัติ ว่าที่ร้อยตรีไพโรจน์ สุวรรณฉวี นายปรีชาเลาหพงศ์ชนะ ซึ่งที่ผ่านมาก็ระดับเบิ้มกันอยู่แล้ว
ยิ่งบิ๊กเบิ้มกันมากขึ้น และทำให้น้ำหนักของพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน ยิ่งเรืองรองมากขึ้น ในฐานะของพรรคที่เต็งจ๋า มีสิทธิ์เป็นขั้วรัฐบาลสบายๆ
ส่วนพรรคชาติไทยพัฒนา เจ้าของฉายาปลาไหลต้นฉบับ หลังจากที่เสียรังวัดไปมากทั้งจาการเข้ามาร่วมอุ้มรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไปจนกระทั่งการจองกฐินจองผ้าป่าสามัคคีล่วงหน้ากับพรรคภูมิใจไทย หวังเป็นขั้วที่หากใครต้องการจะเป็นรัฐบาล ก็ต้องเลือกใช้บริการ
แต่เพราะนายบรรหาร ศิลปอาชา อี๋อ๋อ กับนายเนวิน ชิดชอบ เร็วไปหน่อย สังคมก็เลยเกิดอาการยี้เหวี่ยงแหไปหมด ทำให้กระแสของชาติไทยพัฒนาวูบลงไปไม่น้อย ในสนามการเมือง
นายบรรหาร ถึงขั้นต้องลงทุนป่าวร้อง ว่าหลังสงกรานต์จะมีทีเด็ด จะมีบิ๊กเซอร์ไพร์ส โดยจะมีคนเด่นคนดังเข้ามาซบรังชาติไทยพัฒนา
หลายคนก็ได้แต่เป็นห่วง และหวังว่า เปิดหน้าไพ่ออกมาแล้วขอให้เด่นให้ดังจริงๆด้วยเถอะ
ไม่งั้นคะแนนนิยมของพรรคมีหวังเตี้ยลงไปอีกแน่!!!
แต่ที่เปิดไพ่ออกมาแล้วฮือฮาเป็นอย่างมาก คือ กรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่โฟนอิน อ้อนชาวลำปาง ช่วยให้พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง
โดยเมื่อวันที่ 8 เม.ย. ที่ผ่านมา ที่สนามกีฬากลางหนองกระทิง อ.เมือง จ.ลำปาง กลุ่มเสื้อแดงจากภาคเหนือ ประมาณ 3,000 คน ส่งเสียงไชโยโห่ร้องดังสนั่นสนามกีฬา เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ โฟนอินเข้ามาพูดคุยกับพี่น้องชาวลำปางและกลุ่มเสื้อแดงตามสัญญา โดยใช้เวลาในการโฟนอินประมาณ 5 นาที
งานนี้มี นายพินิจ จันทรสุรินทร์ อดีต ส.ส.จังหวัดลำปาง นายนาธร โล่ห์สุนทร นายจรัสฤทธิ์ จันทรสุรินทร์ นายสมโภช สายเทพ สส.ลำปางพรรคเพื่อไทย เข้าร่วมภายในงานด้วย
อดีตนายกฯทักษิณ ได้อ้อนกับพี่น้องคนลำปาง และกลุ่มคนเสื้อแดงว่าคิดถึงเมืองไทย และพี่น้องคนเสื้อแดงมาก และอยากกลับเมืองไทย
“หากมีการเลือกตั้งใหม่ พรรคเพื่อไทยได้รับชัยชนะ และได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล อีก 3 เดือนให้หลัง ผมจะกลับมาเมืองไทย เพื่อต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ เพื่อบ้านเมืองของเราจะได้ไม่ถดถอยเหมือนอย่างทุกวันนี้”
พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ขอให้คนลำปางช่วยนำตนเองกลับเข้ามาเมืองไทยด้วย เพราะคิดถึงคนไทยทุกคน
รวมทั้งได้มีการพูดถึงการบริหารของรัฐบาลในปัจจุบันด้วยว่า เป็นรัฐบาลทำงานไม่เป็น จนนำประเทศไปสู่การล้าหลัง ไม่สามารถแก้ปัญหาความยากจน ความเหลื่อมล้ำ และปฏิบัติ 2 มาตรฐาน
การพูดชัดถึงแนวทางว่า หากพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง ก็จะกลับมาเมืองไทยนั้น เล่นเอาอุณหภูมิการเมืองร้อนฉ่าขึ้นมาไม่น้อย
เพราะพรรคการเมืองทั้งหลาย โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ รู้ดีว่า จนถึงขณะนี้ จุดขายของพรรคเพื่อไทยในเรื่องของ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังเป็นจุดขายที่แข็งแกร่ง ยังเป็นสิ่งที่สามารถเรียกคะแนนนิยม คะแนนศรัทธาได้ไม่ยาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากเอาการทำงานของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ผ่านมา กับผลงานของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ในช่วง 2 ปีนี้ มาเทียบกัน ภาพของพรรคประชาธิปัตย์ยิ่งหมดราคามากขึ้น
เพราะแม้แต่กระทั่งการลงพื้นที่เพื่อเยียวยาความเดือดร้อนของคนใต้ ซึ่งเป็นฐานเสียงสำคัญของประชาธิปัตย์เองด้วยซ้ำ นายอภิสิทธิ์ยังดำเนินการล่าช้า จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันทั้งประเทศ ว่าทำงานสู้นักเล่าข่าวทางโทรทัศน์ อย่างนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ยังไม่ได้เลย
ยิ่งก่อนหน้า พ.ต.ท.ทักษิณ มีการให้สัมภาษณ์ผ่านหนังสือพิมพ์ เดอะ วอลล์ สตรีท เจอร์นัล โดยระบุว่า หนทางในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจประการหนึ่งก็คือ จะปรับลดภาษีนิติบุคคลของไทย
ยิ่งทำให้เห็นถึงการทำงานที่เป็นมวย และเข้าใจปัญหาที่แท้จริงมากขึ้นไปอีก
งานนี้ถือเป็นศึกหนักไม่น้อยสำหรับประชาธิปัตย์ และนายอภิสิทธิ์
เพราะวันนี้สิ่งที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ทำ ไม่ใช่การมองข้ามชอต เพื่อแก้ไขปัญหาของชาติ แต่ยังวนอยู่กับการเล่นเกมการเมือง เพื่อเอาเปรียบหรือฉกฉวยโอกาสเพื่อสร้างภาพไปเรื่อยๆ เท่านั้นเอง
ไม่เว้นแม้แต่การฉกฉวยเล่นเกมกับพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเอง
อย่างเช่นกรณีของน้ำมันพืช ที่มีปัญหา ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันปาล์ม หรือน้ำมันถั่วเหลือง เจอพรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคง เล่นเกมหนักที่สุด
น้ำมันปาล์มขาดแคลน ทั้งๆที่นายสุเทพเองเป็นประธานคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ อยู่แท้ๆ พอน้ำมันปาล์มขาดแคลน มีการกักตุน กลับโยนผิดไปให้กระทรวงพาณิชย์เต็มๆ
แถมเมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ คาดว่าอาจจะสามารถปรับลดราคาน้ำมันปาล์มลงได้ ลิตรละประมาณ5 บาท หรือจากราคาบรรจุขวดขนาด 1 ลิตรที่ 47 บาทเหลือขวดละ 42 บาท
เท่านั้นแหละได้เรื่องทันที เพราะเล่นเอานายสุเทพฉุนกึก และสั่งเบรกแนวคิดที่จะให้มีการลดราคาน้ำมันปาล์มบรรจุขวดในทันที ทั้งๆที่เรื่องนี้ประชาชนผู้บริโภคจะเป็นผู้ได้รับประโยชน์เต็มๆ หากกระทรวงพาณิชย์ทำให้มีการลดราคาขึ้นมาจริงๆ
เหตุผลที่นายสุเทพ ต้องเบรกก็เพราะต้องการที่จะพยุงราคาในการรับซื้อผลปาล์มให้ยังอยู่ในระดับที่สูง กิโลกรัมละ 6 บาท เท่านั้นเอง
ส่วนว่าจะเป็นการหาเสียงล่วงหน้าจากผู้ปลูกปาล์มหรือไม่ คิดดูกันเอาเอง
เพราะในการประชุมครม. เมื่อวันที่ 4 เม.ย. นายสุเทพนอกจากจะออกโรงทวงเงินค่าชดเชยที่กระทรวงพาณิชย์จะต้องจ่ายให้กับทางโรงกลั่นน้ำมันปาล์มแล้ว
ยังแสดงความไม่พอใจกับเรื่องข่าวที่ว่าจะลดราคาน้ำมันให้เหลือขวดละ 42 บาท ว่าการพูดเช่นนี้ก็ทำให้ขัดกันเอง อย่างนี้ก็ตายเลย
แบไต๋ว่า ยังต้องการให้ราคาผลปาล์ม กิโลกรัมละ 6 บาทเท่าเดิม
โดยเฉพาะขณะนี้ใกล้เลือกตั้งแล้ว ก็ควรจะลากราคา 6 บาทให้ยาวไปถึง 30 มิ.ย.
ทำให้มีรัฐมนตรีบางคน ได้ถามว่าถ้าหลัง 30 มิ.ย.แล้วจะทำอย่างไรต่อ???
เพราะการที่จะรับซื้อปาล์มจากเกษตรกรตามที่บังคับไว้ที่กก.ละ 6 บาท และขายน้ำมันปาล์มราคา 47 บาท นั่นก็คือจะต้องชดเชยอีกเดือนละ 30 ล้านบาท
แม้แต่ทางสำนักงบประมาณ ยังอดสอบถามนายสุเทพ ไม่ได้เลยว่าจะใช้เงินเท่าไหร่
แต่นายสุเทพ กลับตอบว่า เท่าไหร่ก็เท่านั้น
ซึ่งเป็นเรื่องตลกมาก เพราะสถานการณ์ราคาน้ำมันปาล์ม ขณะนี้ราคารับซื้อผลปาล์ม (17%) ลงมาอยู่ที่ กก.ละ 5.00 - 5.10 บาท เป็นการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องจาก กก.ละ 8.49 บาท ในเดือนกุมภาพันธ์ 54
ในขณะที่น้ำมันปาล์มดิบ ราคาก็ลงมาอยู่ที่ กก.ละ32.50-33 บาทแล้ว เนื่องจากโรงงานผลิตไบโอดีเซลมีน้ำมันปาล์มดิบเพียงพอสำหรับการผลิตไบโอ ดีเซลบี 2 จึงชะลอการซื้อ
ซึ่งหากลดราคาขายน้ำมันปาล์มบรรจุขวดลงมาเหลือ 42 บาทอย่างที่กระทรวงพาณิชย์คิด ก็ยังมีส่วนต่างจากราคาน้ำมันดิบเกือบ 10 บาท ทำไมนายสุเทพจึงไม่ทำ???
สุดท้ายเมื่อไม่รู้จะหาเหตุผลใดๆมาชี้แจงให้เป็นที่กระจ่างได้ ก็ต้องใช้อำนาจของนายกรัฐมนตรี โดยนายอภิสิทธิ์ ได้ตัดบทดื้อๆว่า คงต้องตรึงราคา ไปจนถึง 30 มิถุนายน
ซึ่งแน่นอนว่า งานนี้ประชาธิปัตย์เสียหน้า ก็เลยมีรายการตามเอาคืนกลับทั้งเรื่องของราคาน้ำมันถั่วเหลืองที่กรมการค้าภายในได้อนุมัติให้ขึ้นราคาได้ขวดละ 9 บาท
แถมยังมีเรื่องของราคาปุ๋ยเข้ามาเล่นเกมสั่งสอนกันอีกรอบ โดยหลังจากที่คณะอนุกรรมการพิจารณาราคาปุ๋ยเคมี มีมติให้ปรับราคาขายปุ๋ยยูเรียขึ้น 10–35 เปอร์เซ็นต์ ตามต้นทุนวัตถุดิบ โดยจะเริ่มราคาใหม่ตั้งแต่วันที่ 8 เมษายนเป็นต้นไป
สุดท้ายภายในวันเดียวกัน กลับมีการเบรกการขึ้นราคาปุ๋ย ออกไปอย่างไม่มีกำหนด
นายอภิสิทธิ์ อ้างว่าหากจะอนุมัติให้ขึ้นราคาปุ๋ยจริงๆ จะต้องมีนโยบายช่วยเหลือประชาชนที่ชัดเจนออกมาก่อน
งานนี้เป็นอีกเกมหนึ่งที่จะเป็นการหาคะแนนล่วงหน้าจากภาคเกษตรกรหรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณากันเอาเอง???
แต่เล่นเกมเบิ้ลพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเองขนาดนี้ ยังมองไม่ออกว่าระยะยาวแล้วใครจะคบกับประชาธิปัตยได้บ้าง
บทเรียนที่เกิดกับภูมิใจไทยซ้ำซาก จากฝีมือนายอภิสิทธิ์เช่นนี้ น่าจะทำให้พรรคต่างๆ ฉุกใจคิดทบทวนกันบ้างนะ
ว่าหลังเลือกตั้งที่จะมาถึง ควรเลือกคบกับใครดี???