ที่มา ประชาไท
พันตำรวจโท ดร. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาว่ามีความผิด เกี่ยวกับการทุจริตซื้อขายที่ดินย่านรัชดาภิเษก ศาลพิพากษาลงโทษจำคุก 2 ปี แต่คุณทักษิณเห็นว่าคำพิพากษานั้นไม่เป็นธรรม จึงปฏิเสธการจับกุมโดยหลีกไปอาศัยอยู่ ณ ต่างประเทศ
ก่อนหน้านี้มีข่าว ว่าคุณทักษิณได้รับเชิญไปบรรยายเรื่องเศรษฐกิจที่ ประเทศญี่ปุ่น และมีการให้สัมภาษณ์ว่าการเดินทางดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลไทย แม้จะมีรายงานข่าวว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยได้ยอมรับว่า ได้หารือเรื่องดังกล่าวกับทูตของญี่ปุ่นก็ตาม (
http://bit.ly/p91HBp)
ล่า สุด (15 สิงหาคม 2554) สำนักข่าว Kyodo ประเทศญี่ปุ่นรายงานการแถลงข่าวโดยเลขาธิการคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลญี่ปุ่นว่า กงสุลใหญ่แห่งญี่ปุ่น ณ ดูไบ ได้ออกหนังสือตรวจลงตรา (วีซ่า) เพื่ออนุญาตให้คุณทักษิณสามารถเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่นได้เป็นกรณีพิเศษ หลังได้รับการร้องขอจากรัฐบาลไทย (“in response to a request from Thailand”
http://bit.ly/qVFL8h)
สำนัก ข่าว AFP รายงานคำแถลงข่าวของเลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นในทางเดียวกันว่า รัฐบาลไทยได้แจ้งว่าไม่มีนโยบายห้ามคุณทักษิณเดินทางไปประเทศอื่น และขอให้ประเทศญี่ปุ่นออกวีซ่าให้คุณทักษิณ (“The Thai government… takes a policy of not prohibiting former prime minister Thaksin from visiting any country and requested that Japan issue a visa”
http://bit.ly/mRPUg2)
หาก คำพูดของเลขาธิการคณะรัฐมนตรีของญี่ปุ่นพอเชื่อถือได้ สื่อมวลชนไทยสมควรต้องกลับมาถามรัฐบาลไทยที่เพิ่งเข้ามาทำงานไม่กี่วันว่า ที่มีคนบอกว่ารัฐบาลไทยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการออกวีซ่าครั้งนี้นั้น ใครพูดจริง ใครโกหก???
ความจริงหากจะพูดให้ดูดี หน่อย ก็น่าจะบอกว่า กฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ (ข้อ 12 แห่งสนธิสัญญา ICCPR ซึ่งทั้งไทยและญี่ปุ่นต่างเป็นภาคีและมีพันธกรณีต้องเคารพ) ก็รับรองสิทธิเสรีภาพของคุณทักษิณให้สามารถเดินทางได้อย่างเสรีภายในประเทศ ใดประเทศหนึ่งได้ หากคุณทักษิณเข้าไปในประเทศนั้นโดยถูกกฎหมาย
อีก ทั้งรัฐธรรมนูญไทย มาตรา 82 ก็สื่อความให้รัฐบาลไทยต้องเคารพสิทธิมนุษยชนข้อนี้ แน่นอนว่าหากคุณทักษิณเดินทางเข้ามาสู่เขตบังคับของกฎหมายไทย ไทยก็ย่อมต้องดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมายไทย
ใน เมื่อสุดท้ายคุณทักษิณก็ยังคงเป็นมนุษย์ กฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิมนุษยชนซึ่งติดตัวคุณทักษิณอยู่แต่เดิมก็มิ ได้หายไปไหน การที่คุณทักษิณได้รับวีซ่าญี่ปุ่นอย่างถูกกฎหมายเพื่อเดินทางไปแสดงความคิด เห็นด้านเศรษฐกิจ หรือแสดงความห่วงใยต่อผู้ประสบภัยธรรมชาติ จึงมิใช่เรื่องที่ผิดกฎหมาย และก็คงอยู่นอกอำนาจที่รัฐบาลไทยจะไปห้ามญี่ปุ่นได้ ไทยจะไปยุ่มย่ามเรื่องภายในก็จะหาว่าแทรกแซงและผิดกฎบัตรสหประชาชาติ
อีก ทั้งกฎหมายว่าด้วยการตรวจคนเข้าเมืองและผู้ลี้ภัยของประเทศญี่ปุ่น ค.ศ. 1953 แก้ไขล่าสุด ค.ศ. 2009 มาตรา 5-2 ได้เปิดช่องให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมสามารถออกวีซ่าพิเศษให้กับผู้ ที่ต้องโทษจำคุก เช่น คุณทักษิณ ให้เข้าญี่ปุ่นได้ หากเห็นว่าเป็นกรณีสมควร
แต่ เมื่อรัฐบาลไทยไม่เคยชินกับการอ้างเรื่องสิทธิมนุษยชน และดันมีคนใจดีไปช่วยขอวีซ่าจนกลายเป็นข่าว จนมีผู้ตั้งประเด็นว่า เป็นการทำให้การจับกุมคุณทักษิณลำบากขึ้นและผิดกฎหมายนั้น เป็นการฉลาดหรือไม่ ก็น่าคิดอยู่!
ใครเป็นผู้ร้ายข้ามแดน?
เกิดคำถามตามมาว่า ในเมื่อคุณทักษิณมีความผิดตามกฎหมายไทย ถูกศาลฎีกาไทยพิพากษาจำคุก 2 ปี แล้วหากคุณทักษิณเดินทางไปญี่ปุ่น ไทยจะขอให้ญี่ปุ่นส่งตัวคุณทักษิณกลับมารับโทษในประเทศไทยในลักษณะการส่ง ผู้ร้ายข้ามแดนได้หรือไม่?
ตอบว่าไทยขอได้ แต่ญี่ปุ่นจะส่งตัวคุณทักษิณมาหรือไม่ เป็นไปได้ยาก หากตอบโดยไม่ต้องนึกถึงข้อกฎหมายใดๆ การที่ญี่ปุ่นอนุญาตให้คุณทักษิณเข้าเมืองมากล่าวสุนทรพจน์และเยี่ยมผู้ ประสบภัยเป็นกรณีพิเศษแล้วค่อยเข้าจับกุมส่งตัวนั้น คงจะดูแปลกอยู่
และหากพิจารณาในข้อกฎหมาย ก็จะพบอุปสรรคหลายด่าน ดังนี้
ด่านที่ 1: ไทยและญี่ปุ่นยังไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน
จริง อยู่ว่าเมื่อปี พ.ศ. 2552 ไทยและญี่ปุ่นได้ลงนามสนธิสัญญาอีกฉบับ คือสนธิสัญญาว่าด้วยการโอนตัวผู้ต้องคำพิพากษาและความร่วมมือในการบังคับให้ เป็นไปตามคำพิพากษา ซึ่งอาจมีผู้เข้าใจผิดว่า เป็นสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน
ความจริงสนธิสัญญา ฉบับนี้เป็นข้อตกลงเกี่ยวกับกรณีที่ไทยจับคนญี่ปุ่น ที่ทำผิดกฎหมายไทย แล้วอาจส่งตัวคนญี่ปุ่นนั้นกลับไปจำคุกที่ญี่ปุ่นตามโทษกฎหมายไทย ในทางเดียวกัน ญี่ปุ่นก็อาจส่งตัวคนไทยที่ทำผิดกฎหมายญี่ปุ่นกลับมาจำคุกที่ไทย
แต่ กรณีคดีของคุณทักษิณนั้น เป็นกรณีที่คนไทยต้องโทษจำคุกตามกฎหมายไทย จึงไม่เกี่ยวข้องกับสนธิสัญญาดังกล่าว (นอกจากคุณทักษิณเข้าญี่ปุ่นแล้วดันทะลึ่งทำผิดกฎหมายบ้านเขาแล้วถูกจำคุก ไทยก็อาจขอให้ส่งตัวมาได้)
ด่านที่ 2: ไม่มีสนธิสัญญาก็ส่งได้ แต่ส่งยาก
การ ที่ไทยและญี่ปุ่นไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างกัน ไม่ได้แปลว่าการส่งผู้ร้ายข้ามแดนจะทำไม่ได้ เพียงแต่ทำได้ยาก เพราะทั้งสองฝ่ายต่างต้องอาศัยกฎหมายภายในประเทศและ “วิถีทางการทูต” (diplomatic channel)” ซึ่งอาศัยดุลพินิจและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นสำคัญ
ด่านที่ 3: กฎหมายไทยให้อำนาจนักการเมือง ไม่ใช่อัยการ
พระ ราชบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ. 2551 มาตรา 30 ให้อัยการสูงสุดของไทยมีอำนาจวินิจฉัยว่าจะร้องขอให้ญี่ปุ่นส่งผู้ร้ายข้าม แดนหรือไม่ แต่กระนั้น กฎหมายก็ยังเปิดช่องให้ “คณะรัฐมนตรีมีมติเป็นอย่างอื่น” ได้ กล่าวคือหากอัยการสูงสุดต้องการขอ แต่คณะรัฐมนตรีไม่ต้องการให้ขอ สุดท้ายก็ขอไม่ได้
ด่านที่ 4: กฎหมายญี่ปุ่นไม่ให้ส่งฟรีๆ
แม้ หากสุดท้ายคณะรัฐมนตรีไทยไม่ขัดข้อง ก็มิได้แปลว่าไทยขอแล้วญี่ปุ่นจะให้ทันที แต่กฎหมายภายในของประเทศญี่ปุ่น คือ กฎหมายว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ค.ศ. 1953 แก้ไขล่าสุด ค.ศ. 2004 กำหนดว่า นอกจากฝ่ายไทยต้องส่งคำขอพร้อมเอกสารรายละเอียดที่เข้าเงื่อนไขต่างๆ แล้ว มาตรา 3 ยังบังคับว่า ไทยต้องให้คำมั่นว่าจะส่งตัวผู้ร้ายจากไทยไปที่ญี่ปุ่นในลักษณะต่างตอบแทน อีกด้วย (reciprocity) กล่าวโดยง่ายก็คือ หากไทยไม่มีผู้ร้ายไปสัญญาแลก ญี่ปุ่นก็ไม่ส่งให้
ด่านที่ 5: รัฐมนตรีญี่ปุ่นต้องพอใจ
ไทย ต้องเอาผู้ร้ายไปสัญญาแลกเท่านั้นไม่พอ กฎหมายว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนของญี่ปุ่น มาตรา 4 ยังกำหนดว่า ในกรณีที่ไทยและญี่ปุ่นไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างกัน ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมของญี่ปุ่นมีดุลพินิจพิจารณาอย่างกว้าง ขวางว่า “หากเป็นการไม่เหมาะสม” (deemed to be inappropriate) ญี่ปุ่นก็ไม่จำเป็นต้องทำตามคำขอของไทย ซึ่งอะไรจะเหมาะสมหรือไม่นั้น ก็คงสุดแท้แต่ที่ท่านรัฐมนตรีของญี่ปุ่นจะคิด
ด่านที่ 6: กฎหมายญี่ปุ่นระบุข้อห้ามไม่ให้ส่งตัว
แม้ ท่านรัฐมนตรีของญี่ปุ่นจะมองว่าเป็นการเหมาะสมที่จะส่งคุณทักษิณ กลับมาประเทศไทย ก็มิใช่ว่าจะส่งได้ แต่ต้องผ่านด่านกฎหมายว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนของญี่ปุ่น มาตรา 2 ซึ่งกำหนดข้อห้ามไม่ให้ส่งตัวคุณทักษิณไว้อีกหลายกรณี หากเข้ากรณีใดกรณีหนึ่ง ก็ส่งไม่ได้ อาทิ
- ห้ามส่งตัวหากเห็นว่าความผิดของคุณทักษิณเป็นความผิดทางการเมือง (political offense) หรือการขอให้ส่งตัวคุณทักษิณเป็นการพยายามนำตัวคุณทักษิณมาลงโทษทางการเมือง
(เช่น คุณทักษิณอาจต่อสู้ว่า คดีความทั้งหมดนั้นมุ่งเล่นงานคุณทักษิณตั้งแต่กระบวนการรัฐประหารโค่นอำนาจ ทางการเมือง ฯลฯ แต่คุณทักษิณก็ต้องไม่ลืมว่า คดีที่ศาลฎีกาตัดสินนั้นเป็นเรื่องการทุจริตเกี่ยวกับการประมูลที่ดิน ญี่ปุ่นอาจไม่มองว่าเป็นเรื่องการเมือง)
- ห้ามส่งตัวหากความผิดคุณทักษิณตามกฎหมายไทยเป็นความผิดที่มีโทษเบา กล่าวคือกฎหมายญี่ปุ่นกำหนดว่า หากโทษความผิดคุณทักษิณเป็นโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ก็ห้ามส่งตัว
(เช่น คุณทักษิณอาจต่อสู้ว่า คุณทักษิณถูกศาลไทยพิพากษาจำคุกเพียง 2 ปี จึงเป็นกรณีโทษเบาที่ไม่ให้ส่งตัว แต่อย่าลืมว่าพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปราม การทุจริต พ.ศ. 2542 ที่ศาลไทยใช้ลงโทษคุณทักษิณนั้น มาตรา 122 ได้บัญญัติให้มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี สุดท้ายก็ขึ้นอยู่ว่าญี่ปุ่นจะตีความกฎหมายอย่างไร)
- ห้ามส่งตัวหากความผิดของคุณทักษิณตามกฎหมายไทยเป็นความผิดที่ไม่สามารถเอาผิดหรือลงโทษตามกฎหมายของญี่ปุ่นได้ (double criminality)
(เช่น คุณทักษิณอาจต่อสู้ว่า ความผิดเรื่องการทุจริตที่เกิดจากการประมูลที่ดินโดยภรรยานายกรัฐมนตรีนั้น แม้กฎหมายไทยจะมองว่าผิด แต่กฎหมายญี่ปุ่นอาจไม่ถือว่าเป็นความผิด ก็ห้ามส่งตัว)
หากจะบอกว่าคุณทักษิณมั่นใจในข้อ กฎหมายว่าไม่ถูกส่งตัวกลับไทย ก็พอเข้าใจอยู่ แต่ที่น้องคุณทักษิณต้องมานั่งตอบคำถามว่า ทำไมถึงไม่ขอส่งตัว หรือทำไมขอแล้วส่งมาไม่ได้ ก็อาจเข้าใจยากหน่อย
หรือกล่าวอีกทางหนึ่ง สุดท้ายใครเป็นผู้ร้ายข้ามแดนหรือไม่ ข้อนี้ตอบง่าย แต่งานนี้ใครฉลาดหรือไม่ ข้อนี้ตอบยาก!