ฝุ่นการเมืองยังคลุ้งทุกอย่างยังเดินหน้าไม่ได้ กกต. คือสถานที่จะคลายปมต่างๆชี้ชัด “ทักษิณ” น่าจะเลือกสมานฉันท์ มากกว่ารุนแรงเพื่อเซฟตัวเอง
ข่าว “เขย่าขวด” สุดสัปดาห์นี้ กว่าจะฝ่าสถานการณ์ไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลดูจะยุ่งยากไม่ใช่เล่น แม้แต่กฎหมายก็ยังไม่ชัดเจน
การชี้ขาดตัดสินจึงเป็นไปแบบกระท่อน กระแท่นเต็มทน
นอกเหนือจากใบเหลือง-ใบแดงที่ กกต. แจกให้แก่ผู้สมัคร ที่กระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งนั้นไม่ใช่มีแค่ ส.ส.เขตเท่านั้น
แต่ ส.ส.ระบบสัดส่วนก็อยู่ในข่ายด้วย ซึ่งที่ผ่านมาไม่มีกรณีนี้ และไม่มีผู้สมัครคนใดถูกแจกใบเหลือง-ใบแดง
ครั้งนี้ปรากฏว่า กกต.ได้รับคำร้องถึงพฤติกรรมกระทำผิดเลือกตั้งของนายยงยุทธ ติยะไพรัช รองหัวหน้าเบอร์ 1 ของพลังประชาชน
“ยุทธตู้เย็น” คนได้คะแนนเป็นอันดับ 1 ในระบบสัดส่วนเขตภาคเหนือ แต่ปรากฏว่าถูกร้องเรียนกระทำผิดเลือกตั้ง
มีซีดีทีเด็ดเป็นหลักฐานมัด
การชี้ขาดว่าผิดไม่ผิดดูจะไม่ยาก เพราะหลักฐานมันค่อนข้างจะชัดเจน แม้จะแก้ตัวยังไงก็ยาก
แต่ปัญหามันไม่ใช่ตรงนี้ มันไปอยู่ที่ว่าหากให้ใบแดงจะเกิดอะไรขึ้น นายยงยุทธจะโดนคนเดียวหรือเป็นพวง คือผู้สมัครระบบนี้ที่ได้รับการเลือกตั้งของพรรคเดียวกัน
จะต้องถูก “ใบแดง” หรือไม่?
นักกฎหมายกลุ่มหนึ่งชี้ว่าต้องโดนหมดทั้งยวง และอาจโยงไปถึงการ “ยุบพรรค” ด้วย แต่อีกกลุ่มมองว่าน่าจะเป็นเรื่องเฉพาะตัวมากกว่า
ไม่เกี่ยวกับคนอื่นหรือพรรค
ขณะเดียวกัน กรณี “ใบเหลือง” ก็เกิดปัญหาขึ้นมาอีก เพราะกฎหมายไม่ได้กำหนดเอาไว้ว่าจะต้องดำเนินการอย่างไร
ถ้าเลือกซ่อมกันใหม่จะทำอย่างไร...น่า ปวดกบาลแทนจริงๆ
ทำท่าว่า กกต.ตัดสินใจยากยิ่งและน่าจะออก 2 ทาง คือ “ใบแดง” ที่มีผลต่อนายยงยุทธเพียงคนเดียว
หรือ “ใบขาว” รอดตัวไปได้ทุกฝ่าย แต่ “หลักฐาน” มันยังดิ้นได้อยู่
แต่นี่คือจุดล่อแหลมที่พลังประชาชนหวั่นไหวไม่น้อย
อย่างไรก็ดี แม้ว่าพลังประชาชนจะตั้งรัฐบาล 6 พรรคได้ แต่ตำแหน่งนายกฯดู เหมือนว่าจะเกิดปัญหา 2 ด้าน
“สมัคร สุนทรเวช” กำลังนั่งลุ้นเก้าอี้ด้วยใจจดใจจ่อ
1. เรื่องคดีความต่างๆที่ติดตัวอยู่จะเอาตัวรอดได้หรือไม่
2. การยอมรับจากสังคมที่ไม่ค่อยจะเต็มที่เพราะท่าทีของนายสมัครเอง รวมถึงความรู้ความสามารถ ความสมานฉันท์
ยิ่งเปิดศึกกับบ้านสี่เสา...ยิ่งยุ่งและยังเป็นเรื่องค้างคาใจกันอยู่
แน่นอนว่าสถานการณ์การเมืองต่อไปข้างหน้านั้น หากไม่ยึดจุดสมานฉันท์ก็ต้องเปิดศึกฟาดฟันกันต่อไป
อยู่ที่ว่า “ทักษิณ ชินวัตร” ต้องการเล่นบทไหน?
แต่เชื่อว่ามีความเป็นไปได้น่าจะเลือกทางแรกมากกว่า เพราะแม้ว่าพลังประชาชนจะชนะเลือกตั้ง เป็นรัฐบาล มีอำนาจทางการเมือง
แต่...ในสถานการณ์ใหม่ เงื่อนไขใหม่ การใช้อำนาจในรูปแบบเก่าคงยาก และน่าจะรู้ดีว่าบทเรียนที่ผ่านมามันเจ็บแสบแค่ไหน
แม้จะชนะทางการเมืองได้
แต่ “คดีความ” และ “ขุมทรัพย์” ที่ถูกยึดน่าจะเป็นตัวชี้ขาดมากกว่า เพราะมันหมายถึงอิสรภาพและทรัพย์สินก้อนใหญ่
หนทางประนีประนอมด้วยอำนาจรัฐที่เหนือกว่า น่าจะทำให้โอกาสที่จะไม่สูญเสียมีมากกว่าการปะทะที่รุนแรง
มันคือทางเลือกที่จะต้องเลือก!!!
ลิขิต จงสกุล
คอลัมน์ สับรางวันอาทิตย์